โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

สกู๊ปพิเศษ : เจาะลึก3นัดท้าย 'ไทยลีก2019' ใครจะรุ่ง-ใครจะร่วง!!!

MATICHON ONLINE

อัพเดต 22 ก.ย 2562 เวลา 04.29 น. • เผยแพร่ 22 ก.ย 2562 เวลา 05.22 น.
collage8548

เข้มงวดเข้ามาทุกทีแล้วสำหรับการแข่งขันฟุตบอล “โตโยต้า ไทยลีก 2019” ที่หากพ้นสุดสัปดาห์นี้ไป ก็จะเหลือการแข่งขันอีกเพียง 3 นัดเท่านั้น ก็จะได้รู้กันว่าบทสรุปนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร

ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในการลุ้นแชมป์ หรือสถานการณ์หนีตาย ล้วนแล้วแต่มีความตื่นเต้น สนุกสนาน เพราะแต่ละทีมมีแต้มห่างกันไม่มาก และพร้อมจะสลับตำแหน่งกันได้ในทุกนัดที่ลงเล่น

ว่ากันด้วยสถานการณ์ลุ้นแชมป์กันก่อน ทั้ง “กว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด, “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี และ “แข้งเทพ” แบงค็อก ยูไนเต็ด ล้วนแล้วแต่มีโอกาสด้วยกันทั้งสิ้น

กว่างโซ้งมหาภัย ยังถือว่ามีภาษีที่ดี แม้จะทำได้แค่เสมอกับ ทรู แบงค็อก ไปแล้ว พวกเขาจะเหลือการแข่งขันอีกเพียง 3 เกมเท่านั้น ซึ่งคู่แข่งที่เจอเป็น 2 ทีมกลางตารางอย่าง พีทีที ระยอง เอฟซี และ พีที ประจวบ เอฟซี จะหนักที่สุดก็คงเป็นนัดสุดท้าย เพราะว่าพวกเขาจะต้องเจอกับทีมหนีตายอย่าง สุพรรณบุรี เอฟซี

อย่างไรก็ตาม ข้อได้เปรียบของสิงห์ เชียงราย คือผลงานเฮดทูเฮด ต่อทีมคู่แข่งที่เหลืออีก 3 ทีม เพราะว่าเฮดทูเฮดของเชียงรายนั้นดีกว่าทั้ง บุรีรัมย์ และการท่าเรือ จะเป็นรองก็เพียงแค่แข้งเทพทีมเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าถ้าชนะรวดอีก 3 นัดที่เหลือ เชียงรายก็ยังจะเป็นทีมที่ได้แชมป์อยู่นั่นเอง

ขณะที่แชมป์เก่าอย่างปราสาทสายฟ้า ตอนนี้อยู่ในช่วงพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หลังจากพลาดเป้าหมายทริปเปิลแชมป์ปีนี้ เพราะร่วงตกรอบ “ช้าง เอฟเอ คัพ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สถานการณ์ในลีกยังต้องลุ้นให้เชียงรายพลาดมากกว่า 1 นัดอีกด้วย

แล้วโปรแกรมเองก็จัดได้ว่าไม่เบา เพราะเป็นเกมเยือนถึง 2 นัด และยังเป็นงานหนักอย่างการไปเยือน นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี กับ เชียงใหม่ เอฟซี ที่อยู่ในโซนหนีตายแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะการไปเยือนโคราชนั้น ต้องบอกเลยว่าไม่ใช่งานที่จะบุกไปเก็บชัยชนะกันได้ง่ายๆ ซ้ำร้ายเกมในบ้านยังต้องเจอกับทีมลุ้นแชมป์ด้วยกันอย่าง การท่าเรือ ที่เชื่อว่านัดนี้เตะกันไฟแล่บแน่นอน

มาที่อีกทีมอย่างการท่าเรือ เอฟซี ของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ กันบ้าง ซึ่งน่าจะได้กำลงใจที่ดี จากการผ่านเข้าชิงชนะเลิศช้าง เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามในลีกก็ยังคงต้องเน้น เพราะถือว่าทีมยังมีลุ้นแชมป์อยู่เช่นกัน

ข้อได้เปรียบของท่าเรือเลยก็คือ ตอนนี้พวกเขามีโปรแกรมตกค้างอยู่ 1 นัด ซึ่งยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่าเกมกับนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี นั้นจะไปลงเตะในวันที่เท่าไหร่ ซึ่งถ้าเก็บชัยชนะก็จะสามารถไล่บี้ทีมนำขึ้นมาได้อีกนิดหนึ่ง และก็ยังมีอีก 2 เกมในบ้านกับ ชัยนาท ฮอร์นบิล และ สมุทรปราการ ซิตี้ ที่น่าจะผ่านไปได้

แต่ต้องอย่าลืมว่าโปรแกรมที่เหลือเองก็มีเกมหนักที่ต้องบุกไปเยือน ปราสาทสายฟ้า สนามที่พวกเขาไม่เคยบุกไปชนะได้ ขนาดว่าผลเสมอครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปถึงปี 2010 เลยด้วยซ้ำ

ปิดท้ายที่ทีมซึ่งตามห่างๆ อย่างห่วงๆ อย่างแข้งเทพ ที่หลายๆ คนเริ่มมองว่าพวกเขาหมดลุ้นแชมป์ลีกไปแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่อย่างไรก็ตามในทางทฤษฏี พวกเขาก็ยังถือว่ามีลุ้นอยู่เช่นกัน

3 นัดสุดท้ายของแข้งเทพได้เล่นในบ้าน 2 นัด เจอกับ เชียงใหม่ เอฟซี กับ พีทีที ระยอง ส่วนเกมเยือนคือการไปเยือน ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ต้องบอกว่าไม่ใช่งานยาก แต่ก็ไม่ถึงกับง่ายนัก และคงเป็นการพิสูจน์ว่า มาโน่ โพลกิ้ง จะได้ไปต่อในฤดูกาลหน้าหรือไม่

สำหรับบรรดาทีมลุ้นแชมป์นั้น อีกส่วนหนึ่งที่จะเป็นตัวแปรได้คือการพักเบรกทีมชาติอีกครั้งในช่วงต้นเดือนตุลาคม ซึ่งทุกทีมคงหวังว่าจะไม่มีผู้เล่นตัวหลักของทีมบาดเจ็บกลับมาจากทีมชาติในช่วงสำคัญแบบนี้ อาจจะพลิกแพลงสถานการณ์ได้เลย

มาดูถึงสถานการณ์ทีมหนีตายกันบ้าง ถ้าวัดจากตารางคะแนน ต้องบอกว่าตั้งแต่อันดับสุดท้ายอย่าง “พยัคฆ์ล้านนา” เชียงใหม่ เอฟซี ไปจนถึงทีมอันดับ 7 อย่าง “ราชันมังกร” ราชบุรี มิตรผล เอฟซี นั้น ยังมีโอกาสตกและโอกาสรอดกันได้แทบทั้งนั้น แล้วโดยเฉพาะ 5 อันดับสุดท้าย แต้มสามารถสลับตำแหน่งขึ้นมาหายใจเหนือโซนตกชั้นได้ในทุกนัดเลยด้วย

ทีมบ๊วยอย่าง เชียงใหม่ เอฟซี 3 นัดสุดท้ายนั้นถือว่าไม่ง่ายเลย ต้องเจอกับทีมหัวตารางถึง 2 ทีม คือการไปเยือนทรู แบงค็อก แล้วนัดสุดท้ายเองหนีตายในบ้านด้วยการรับมือปราสาทสายฟ้า ส่วนอีกนัดหนึ่งเองก็ต้องไปเยือนพีทีที ระยอง อีกเช่นกัน

ขณะที่ “ค้างคาวไฟ” สุโขทัย เอฟซี สถานการณ์ตกที่นั่งลำบากอีกครั้งเพราะพลาดไปแพ้ทีมหนีตายด้วยกันอย่าง “นกใหญ่พิฆาต” ชัยนาท ฮอร์นบิล ต่อด้วยพ่ายให้กับ เอสซีจี เมืองทองฯ เพียงแต่ข้อดีของพวกเขาคือ 3 นัดสุดท้าย ได้เล่นในบ้านถึง 2 เกม และยังไม่ใช่งานที่หนักมากนักอย่าง ราชบุรี และ ตราด เอฟซี และส่วนที่น่าไว้ใจมากที่สุดก็คงเป็นกุนซืออย่าง “โค้ชเบ๊” ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก กุนซือผู้เชี่ยวชาญการพาทีมหนีตาย

“ช้างศึกยุทธหัตถี” สุพรรณบุรี เอฟซี งานหนักที่สุดของพวกเขาคือนัดสุดท้ายที่จะต้องเปิดบ้านรับมือ สิงห์ เชียงราย ที่น่าจะเป็นเกมตัดสินแชมป์ไทยลีกได้ด้วย และสุพรรณเองก็คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน ส่วนอีก 2 เกมที่เหลือเล่นในบ้านกับ พีที ประจวบ และไปเยือน สมุทรปราการ ซิตี้ แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ที่ขึ้นมาเหนือโซนตกชั้นแล้ว ถือว่าเป็นกำลังใจที่ดีไม่น้อย

ฝั่งชัยนาท จากชัยชนะเหนือสุโขทัย ทำให้พวกเขาได้ขึ้นมาสูดอากาศเหนือโซนหนีตาย แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ เพราะว่าถ้าเทียบเฮดทูเฮดกับสุโขทัยแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นรองอยู่ดี แล้วใน 3 เกมสุดท้ายก็ไม่ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการบุกไปเยือนการท่าเรือ กับชลบุรี เอฟซี หรือในบ้านเจอกับนครราชสีมา ล้วนแล้วแต่เป็นงานหนักทั้งนั้น บอกได้คำเดียวว่าต้องงัดฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาเท่านั้น จึงจะอยู่รอด

ปิดท้ายที่ “สวาดแคท” นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นทีมที่มีคะแนนเหนือกว่าทุกทีมที่กล่าวมา แถมยังมีโปรแกรมตกค้างกับการท่าเรือ แต่ต้องบอกว่าสถานการณ์ไม่โอเคเลย ยิ่งถ้านัดตกค้างแพ้ท่าเรือมาด้วย รับรองงานเข้าแน่นอน

เพราะว่าอีก 3 นัดที่เหลือ ไม่เจอทีมลุ้นแชมป์ก็เจอทีมหนีตายด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นเปิดบ้านรับมือบุรีรัมย์, ไปเยือนชัยนาท และนัดสุดท้ายเล่นในบ้านกับสุโขทัย ว่ากันตามตรงถ้ายังไม่ฟื้นมีโอกาสพ่ายทุกเกมที่เหลือเลยก็ยังได้

แม้ว่าจะเหลือการแข่งขันแค่ 3 นัด แต่ก็ถือว่ายังเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานอีก 1 เดือนเต็ม กว่าจะรู้ว่าบทสรุปของฟุตบอลไทยปีนี้จะเป็นอย่างไร

แต่เชื่อว่าทุกคนจับจ้องกันตาไม่กระพริบแน่นอน

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0