โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

สกสว. เตือน ‘น้ำยาฆ่าเชื้อ’ ต่างชนิดผสมผิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต

TODAY

อัพเดต 26 พ.ค. 2563 เวลา 04.09 น. • เผยแพร่ 26 พ.ค. 2563 เวลา 04.09 น. • Workpoint News
สกสว. เตือน ‘น้ำยาฆ่าเชื้อ’ ต่างชนิดผสมผิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต

ในช่วงการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 แน่นอนว่าผู้คนก็จะให้ความสำคัญในเรื่องการทำความสะอาดเป็นพิเศษ น้ำยาทำความสะอาด น้ำยาฆ่าเชื้อ หลายประเภทถูกนำมาใช้งาน และหลายคนอาจอยากลองนำมาผสมเข้าด้วยกันเพื่อหวังให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในคราวเดียว แต่แท้จริงแล้วการผสมน้ำยาทำความสะอาด น้ำยาฆ่าเชื้อต่างชนิดกัน อาจก่ออันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ ตัวอย่างเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ คือการเสียชีวิตของผู้จัดการร้านอาหารแห่งหนึ่งในอเมริกา เนื่องจากสูดดมแก๊สคลอรีนในปริมาณสูงจากการใช้น้ำยาฟอกขาวถูพื้นโดยไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นมีน้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดหกอยู่ ซึ่งเมื่อผสมกันทำให้เกิดแก๊สคลอรีนจำนวนมากในพื้นที่ปิด และเหตุการณ์ที่ผู้หญิงคนหนึ่งทำความสะอาดผักผลไม้ต่างๆ ที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ต โดยผสมน้ำยาฟอกขาวความเข้มข้น 10% กับน้ำส้มสายชูในน้ำร้อน ขณะทำความสะอาดเธอได้กลิ่นรุนแรงของคลอรีนเกิดขึ้นในครัว และเริ่มมีอาการหายใจติดขัด มีเสียงดังขณะหายใจ และได้ถูกส่งตัวไปที่แผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลในทันทีและมีอาการดีขึ้น

ดร.จุฑาทิพ บุญสมบัติ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ คณะทำงานโครงการสนับสนุนข้อมูลวิจัยเชิงลึกด้านเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดเผยว่าน้ำยาทำความสะอาดและยาฆ่าเชื้อที่ใช้ในการทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้ในบ้านเรือน มีด้วยกันหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ สบู่ ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ที่มีสารคลอรีนเป็นส่วนผสม เช่น น้ำยาฟอกผ้าขาว น้ำยากลุ่มแอมโมเนีย เช่น น้ำยาทำความสะอาดกระจกบางยี่ห้อ น้ำยาที่มีกรดเป็นส่วนผสม เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำหลายชนิดที่ใช้สำหรับขจัดคราบหนัก หรือโซดาไฟ ซึ่งเป็นฤทธิ์เป็นด่างมักนำมาใช้เพื่อทำลายไขมันในท่อน้ำทิ้ง น้ำยาแต่ละตัว ถ้าใช้อย่างถูกวิธีก็จะทำงานได้ตรงตามประสิทธิภาพ แต่หากเอามาผสมกันประสิทธิภาพก็จะลดลงรวมถึงก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้

ผสมน้ำยาทำความสะอาดต่างชนิดเกิดอะไรขึ้นได้

หากนำน้ำยาประเภทกรดกับประเภทด่างมาผสมกันก็จะเกิดฟองฟู่และความร้อนเกิดขึ้น หลายคนอาจเข้าใจผิดนึกว่าจะทำให้มีฤทธิ์ทำความสะอาดดีขึ้น แต่แท้จริงแล้วปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างกรดกับด่าง จะเกิดเป็นสารประเภทเกลือกับน้ำและมีการคายความร้อนออกมา สารประเภทเกลือที่เกิดขึ้นมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดหรือกัดกร่อนลดลง นอกจากนั้นถ้านำกรดกับด่างมีความเข้มข้นสูงหรือเป็นสารประเภทกรดด่างที่มีฤทธิ์รุนแรงมาผสมกันอย่างรวดเร็ว อาจเกิดการระเบิดหรือปะทุจากความร้อนสูงมากที่เกิดขึ้น ทำให้เรามีโอกาสสัมผัสกับความร้อนและกรดด่างที่ยังทำปฏิกิริยาไม่สมบูรณ์

ในภาวะปกติ น้ำยาฟอกผ้าขาวจะมีการสลายตัวช้า ๆ ของสารโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (NaOCl) ซึ่งเป็นสารหลักในน้ำยาฟอกผ้าขาว แล้วเกิดกรดไฮโปคลอรัส (HOCl; สมการ 1) จากนั้นเกิดการสลายตัวต่อไปเป็นกรดไฮโดรคลอริก (HCl หรือกรดเกลือ; สมการ 2) ซึ่งจะไปทำปฏิกิริยาต่อกับสารโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (NaOCl) เกิดเป็นแก๊สคลอรีน (Cl2; สมการ 3) เป็นผลให้เราได้กลิ่นคลอรีนจากน้ำยาฟอกผ้าขาวนั่นเอง ปฏิกิริยานี้จะเกิดเร็วขึ้นภายใต้ความร้อนและแสงแดด (3)

แก๊สคลอรีนมีความเป็นพิษและจะเกิดเป็นกรดเมื่อสัมผัสกับความชื้น เนื้อเยื่อของมนุษย์ เช่น เนื้อเยื่อปอด ก็มีความชื้น จึงทำให้เกิดการระคายเคืองจากการสูดดมแก๊สคลอรีน การสลายตัวของน้ำยาฟอกผ้าขาวในภาวะปกติเกิดแก๊สคลอรีนเพียงเล็กน้อย แต่หากมีการผสมกับน้ำยาบางชนิด เช่น การผสมน้ำยาฟอกผ้าขาวกับน้ำยาล้างห้องน้ำที่มีกรดไฮโดรคลอริกเป็นส่วนผสม ก็จะเกิดการทำปฏิกิริยาเกิดแก๊สคลอรีนในปริมาณมากอย่างรวดเร็วขึ้นได้ (สมการ 3) และหากอยู่ในพื้นที่อับและความเข้มข้นของแก๊สคลอรีนมีปริมาณสูง ก็จะเป็นผลให้มีแก๊สคลอรีนในปริมาณมากเข้าสู่ปอดและเกิดเหตุการณ์ดังเช่นในตัวอย่างข้างต้น

หากผสมสารฟอกขาวกับสารกลุ่มแอมโมเนีย ก็จะเกิดปฏิกิริยาระหว่างสารโซเดียมไฮโปคลอไรท์ (NaOCl) กับแอมโมเนีย (NH3) เกิดเป็นสารโมโนคลอรามีน (NH2Cl; สมการ 4) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กัดกร่อนและเป็นพิษ และก่อให้เกิดการแสบร้อนต่อดวงตา ผิวหนัง และทางเดินหายใจ

สารที่กล่าวมาไม่ว่าจะเป็นสารโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (NaOCl) กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) แก๊สคลอรีน (Cl2) หรือโมโนคลอรามีน (NH2Cl) เป็นสารฆ่าเชื้อที่มีการใช้ทั่วไปในการบำบัดน้ำ แต่ปริมาณที่ใช้ต้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย แต่จากการใช้มากกว่าที่ระบุไว้ในฉลากหรือผสมน้ำยาต่างชนิดเข้าด้วยกันทำให้เกิดสารเหล่านี้ปริมาณมากในระดับอันตราย นอกจากนี้การไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันหรือใช้น้ำยาในที่อากาศไม่ถ่ายเทก็ส่งผลให้มีความเสี่ยงมากขึ้น

ทำอย่างไรหากผสมผิด

หากมีการผสมผิดเกิดขึ้นสัญญาณแรกที่บอกถึงการเข้ากันไม่ได้ของน้ำยาทำความสะอาด มักทำให้เกิดเสียง ไอระเหย ความร้อน หรือฟองฟู่ หากเป็นปริมาณไม่มากแนะนำให้เจือจางด้วยน้ำมาก ๆ แล้วเปิดระบายอากาศหรือออกจากพื้นที่นั้นเพื่อให้มั่นใจว่าไม่สูดดมไอระเหย จากนั้นรอให้ปฏิริยาที่เกิดหมดลงแล้วจึงล้างทำความสะอาดพื้นที่อีกครั้ง อย่าพยายามหยุดปฏิกิริยาด้วยการใส่น้ำยาหรือสารเคมีอื่น ๆ

รายงานอุบัติเหตุเกี่ยวกับการใช้น้ำยาทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อมีมากขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้มีรายงานอุบัติเหตุจากพิษของน้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำยาทำความสะอาดมากถึง 45,550 ครั้ง ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 20% เทียบกับปีก่อน ส่วนในประเทศไทยแม้จะไม่ได้ยินข่าวเหล่านี้ แต่การระวังเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ย่อมช่วยปกป้องชีวิตและสุขภาพของเราทุกคน ในฉลากผลิตภัณฑ์จะบอกส่วนผสม ข้อควรระวัง และปริมาณการใช้ที่เหมาะสม ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้ใช้ต้องอ่านข้อมูลบนฉลากเพื่อให้รู้ถึงวิธีใช้ที่ถูกต้อง เพื่อให้สามารถทำความสะอาดฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้ ในขณะเดียวกันต้องระวังไม่ให้น้ำยาเหล่านี้ฆ่าเราเช่นกัน

เอกสารอ้างอิง

  1. Deadly, accidental mix of acid and bleach blamed for Buffalo Wild Wings manager's death. NBC News [Internet]. 2019 Nov 9 [cited 2020 May 19]; Available from: https://www.nbcnews.com/news/us-news/deadly-accidental-mix-acid-bleach-blamed-buffalo-wild-wings-manager-n1078866
  2. Chang A, Schnall AH, Law R, Bronstein AC, Marraffa JM, Spiller HA, et al. Cleaning and Disinfectant Chemical Exposures and Temporal Associations with COVID-19 — National Poison Data System, United States, January 1, 2020–March 31, 2020. MMWR Morbidity and Mortality Weekly Report. 2020;69(16):496–8.
  3. Bradley. Explainer: Why is mixing cleaning chemicals such a bad idea? [Internet]. Chemistry World. 2020 [cited 2020 May 19]. Available from: https://www.chemistryworld.com/news/explainer-why-is-mixing-cleaning-chemicals-such-a-bad-idea/4011257.article
0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0