ถือเป็นอีกหนึ่งใน “พื้นที่เซนซิทีฟแอเรีย (Sensitive Area)” แถมมิใช่ “อ่อนไหว” ธรรมดาๆ ทว่า ยังต้องจับตาแบบเฝ้าระแวดระวังกันอย่างไม่กระพริบ สำหรับ “อ่าวโอมาน” อันลามเลยเข้า “ช่องแคบฮอร์มุซ” หลุดล่วงไปจนถึง “อ่าวเปอร์เซีย” โดยเฉพาะน่านน้ำของทางฟากอิหร่าน ที่ต้องระแวดระวังกันเป็นพิเศษ ณ ชั่วโมงนี้ ภายหลังจากเกิดเหตุโจมตี “เรือบรรทุกน้ำมัน” ของต่างชาติ จนเขย่าขวัญสั่นประสาทในโลกขนส่งทางนาวีไปตามๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น “โคคุกะ กลอเรียส” เรือบรรทุกน้ำมันสัญชาติญี่ปุ่น และ “ฟร็อนต์ อัลแตร์” เรือบรรทุกน้ำมันสัญชาตินอร์เวย์ ที่ลำเลียงน้ำมัน และปิโตรเคมีภัณฑ์อื่นๆ จากซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ไปยังสิงคโปร์ และไต้หวัน เป็นอาทิ ซึ่งถูกโจมตีเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เคราะห์ดีที่ลูกเรือทั้ง 2 ลำ รวมแล้ว 44 คน ปลอดภัย
เบื้องต้น โดยเฉพาะทางฟากมหาอำนาจตะวันตกเชื่อว่า น่าจะเป็นฝีมือของ “กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน หรือไออาร์จีซี ลงมือก่อเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันข้างต้น อย่าง “สหรัฐอเมริกา” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกมาระบุว่า มีคลิปวิดีโอเป็นหลักฐาน เช่นเดียวกับ “อังกฤษ” พันธมิตรคู่หู แบบ “คอหอยกับลูกกระเดือก” ของสหรัฐฯ โดยนายเจเรมี ฮันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ออกมาย้ำอีกครั้งว่า อิหร่านเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตี พร้อมยืนยันหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ นอกจากนี้ ก็มี “ซาอุดีอาระเบีย” โดยเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฏราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ตรัสกล่าวหาว่า อิหร่านเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังตรัสตำหนิว่า อิหร่านไม่ให้เกียรติต่อนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น ที่พยายามหาทางไกล่เกลี่ยความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ถึงขนาดเดินทางมายังกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน กันเลยทีเดียว แต่อิหร่านกลับโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน ที่หนึ่งในนั้นมีเรือบรรทุกน้ำมันสัญชาติญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ การออกมากล่าวหาและตำหนิข้างต้น สร้างความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่งยิ่ง น่านน้ำของท้องทะเล “อ่าวโอมาน” ซึ่งก็ทำเอาน่านน้ำดังกล่าว ร้อนระอุด้วยดีกรีที่ทวีเดือดขึ้นมาถนัดใจ สำหรับ การเผชิญหน้าระหว่างอิหร่าน กับสหรัฐฯ และเหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯ อย่าไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า อิหร่าน ก็หาได้โดดเดี่ยว ในการขับเคี่ยวเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และกับเหล่าพันธมิตรของอีกฟากกันก็หาไม่ ทว่า อิหร่าน ก็มีมหาอำนาจของอีกฝั่ง ประกาศพร้อมยืนเคียงข้างอย่างไม่เดียวดายกับเขาด้วยเหมือนกัน นั่นคือ จีนแผ่นดินใหญ่ กับรัสเซีย สองชาติมหาอำนาจ ที่สหรัฐฯ มิอาจมองข้ามไปได้ ในฐานะคู่แข่งที่สำคัญ โดยสองมหาอำนาจจีนแผ่นดินใหญ่ และรัสเซีย ประกาศยืนเคียงข้างอิหร่าน ในระหว่างผู้นำของทั้งสามชาติ ได้พบปะหารือกันนอกรอบ ขณะเข้าร่วม “ประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ประจำปี 2019” หรือ “เอสซีโอ ซัมมิต 2019” ซึ่งมีขึ้น ณ กรุงบิชเคก เมืองหลวงของคีร์กีซสถาน ที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเอสซีโอ ประจำปีนี้
ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า เมื่อจับขั้วเลือกข้างเผชิญหน้ากันอย่างนี้ เห็นทีคงต้องใช้ “สหประชาชาติ” หรือ “ยูเอ็น” เป็นเวทีประนีประนอม ก่อนสถานการณ์ความขัดแย้งจะรุนแรงบานปลายออกไป
