โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ศึกสายเลือด"ณรงค์เดช" พ่อโต้ลูก"ไม่ได้ความจำเสื่อม"

เดลินิวส์

อัพเดต 12 ธ.ค. 2561 เวลา 09.06 น. • เผยแพร่ 12 ธ.ค. 2561 เวลา 07.37 น. • Dailynews
ศึกสายเลือด
ศึกสายเลือด “ณรงค์เดช” บานปลาย “เกษม” ควง 2 ลูกชาย แจงข้อเท็จจริงคดีความที่มีกับ “ลูกคนกลาง” ยันไม่ได้ความจำเสื่อม มีสติสัมปะชัญญะดี เชื่อมีการปลอมแปลงลายเซ็นต์ เพื่อโยกหุ้นไปให้คู่กรณี เล็งยื่นอุทธรณ์ต่อศาล

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่บ้านตระกูลณรงค์เดช สุขุมวิท 49/13 นายเกษม ณรงค์เดช ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น พร้อมด้วย นายกฤษณ์ ณรงค์เดช บุตรชายคนโต นายกรณ์ ณรงค์เดช บุตรชายคนเล็ก และทนายความจากสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ เปิดแถลงข่าวเพื่อให้สังคมทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีหุ้นบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่กำลังเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงข่าวเกี่ยวกับคดีอาญาที่นายเกษม ฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา นายณพ ณรงค์เดช และนายสุรัตน์ จิรจรัสพร ที่ปรากฏเป็นข่าว

นายเกษม อธิบายเรื่องราวของบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด กับครอบครัวณรงค์เดช ว่า เริ่มต้นในช่วงปี 2558 จากการที่นายณพได้ขอให้ครอบครัว ร่วมลงทุนเข้าซื้อหุ้น บริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ฯ เพื่อให้เป็นอีกธุรกิจหนึ่งของครอบครัวณรงค์เดช เมื่อครอบครัวตกลงร่วมลงทุน ตามที่นายณพชักชวน ครอบครัวได้จัดหาเงินและทรัพย์สินหลายรายการให้แก่นายณพ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวระหว่างนายณพกับสมาชิกในครอบครัว มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน นอกจากนี้นายณพยังใช้ชื่อเสียงของกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น และชื่อเสียงของนายเกษม (บิดา) ไปอ้างอิงในการดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ฯ ต่อบุคคลภายนอก ว่าการดำเนินการเหล่านั้น เป็นการดำเนินการภายใต้กลุ่มบริษัทเคพีเอ็น ทั้งสิ้น ทั้งยังได้ใช้ชื่อเสียงของครอบครัวณรงค์เดช ไปยืมเงินคนอื่น โดยที่ไม่ได้รายงานหรือชี้แจงรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับการลงทุนให้ครอบครัวได้รับทราบ

กระทั่งในช่วงต้นปี 61 สมาชิกในครอบครัว อันประกอบไปด้วย นายเกษมและนายกฤษณ์ ได้รับหมายศาลว่าถูกฟ้องเป็นคดีอาญาร่วมกับนายณพ ฐานโกงเจ้าหนี้ สืบเนื่องจากการที่นายณพ ไปผิดสัญญาซื้อขายหุ้นและไม่ชำระเงินค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ทั้งยังดำเนินการให้มีการยักย้ายจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นวินด์เอ็นเนอร์ยี่ ออกไปยังที่ต่าง ๆ ซึ่งการถูกฟ้องร้องเป็นคดีความดังกล่าว สร้างความกังวลและนำมาซึ่งความเสียหายต่อชื่อเสียงของครอบครัวณรงค์เดชเป็นอย่างมาก ครอบครัวจึงได้ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนเม.ย.61 ที่ผ่านมา หลังจากถูกฟ้องไม่นาน นายเกษมได้รับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลฮ่องกง ห้ามมิให้บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด (บริษัทในฮ่องกง) โอนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ไปยังบุคคลอื่น และจากคำสั่งดังกล่าวทำให้นายเกษมทราบว่า ตนเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด

เมื่อทราบความดังกล่าวนายเกษมจึงต้องการที่จะปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลฮ่องกงโดยเคร่งครัด เนื่องจากไม่ต้องการให้ปัญหาที่เกิดขึ้นบานปลายออกไปอีกและต้องการที่จะแก้ไข ตลอดจนหาข้อยุติในเรื่องนี้ให้เป็นไปได้ด้วยดีสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของครอบครัว เจ้าของหุ้นเดิม และผู้ถือหุ้นอื่น ๆ ในบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ฯด้วย นายเกษมจึงขอให้บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ทำการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อบอกกล่าวความประสงค์ของตน ให้กับผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทฯทราบ แต่ยังไม่ทันได้มีการเรียกประชุม กลับปรากฏว่า คู่กรณีได้ร่วมมือกันใช้เอกสารที่ไม่ถูกต้อง อันได้แก่ สัญญาแต่งตั้งตัวแทน ที่อ้างว่าได้ทำขึ้นระหว่างคุณหญิงกอแก้วกับนายเกษม ฉบับลงวันที่ 25 เมษายน 2559 โดยมีนายณพ ลงนามเป็นพยานสำเนาตราสารการโอนหุ้น และ สำเนาใบสำคัญการซื้อขายหุ้นระหว่างนายเกษมกับคุณหญิงกอแก้ว เพื่อดำเนินการโอนหุ้นทั้งหมดที่นายเกษมถืออยู่ในบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ไปให้คุณหญิงกอแก้ว เพื่อขัดขวางไม่ให้การดำเนินการของนายเกษมที่ตั้งใจไว้ดังกล่าวข้างต้นบรรลุผล ซึ่งในกรณีนี้ นายเกษมได้ยืนยันอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า เอกสารทั้งหมดล้วนเป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผลใดที่ตนจะต้องไปเซ็นสัญญาดังกล่าว ตกลงเป็นตัวแทนให้กับคุณหญิงกอแก้ว

นายเกษม ยืนยันว่า ในระหว่างการดำเนินคดีความต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ นายเกษมกลับพบว่า มีเอกสารไม่ถูกต้องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นในบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ที่มาพบในภายหลังอีกหลายฉบับ หนึ่งในนั้นคือ สัญญาซื้อขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ที่บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอร์ยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขายหุ้นให้กับนายเกษม ในราคาเพียง 2,400 ล้านบาท ก่อนที่หุ้นจะถูกโอนอีกทอดไปยังบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ที่ฮ่องกง ทั้งที่หุ้นจำนวนเดียวกันดังกล่าว นายณพได้เคยตกลงซื้อจากเจ้าของเดิมเป็นจำนวนเงินถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 21,000 ล้านบาท นายเกษมจึงตกลงใจที่จะยุติการดำเนินคดีที่ฮ่องกง เพราะเมื่อสัญญาโอนหุ้นจากต้นทางเป็นสัญญาปลอม การดำเนินการเรียกร้องสิทธิใด ๆ เอากับหุ้น ที่ได้มาหลังจากนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และยืนยันว่าหลังจากนี้จะดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดที่ปลอมลายมือชื่อของตนอย่างถึงที่สุด

 

"เมื่อการจัดการและการบริหารบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ ทั้งหมดที่นายณพดำเนินการมาเช่นนี้ มีแต่จะทำให้เกิดปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด ท้ายที่สุด บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ คงไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อย่างที่นายณพได้เคยโฆษณาเอาไว้ได้"นายเกษมกล่าว

สำหรับคดีอาญาที่นายเกษม ฟ้องคุณหญิงกอแก้ว นายณพ และนายสุรัตน์ ในฐานความผิดร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น ครอบครัวณรงค์เดชและทนายความได้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า คดีความดังกล่าวเป็นคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและศาลใช้เวลาในการไต่สวนพยาน 2 วัน ไม่ใช่หลายเดือนตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งคำพิพากษาของศาล ก็ไม่ได้กล่าวว่า ลายมือชื่อของนายเกษมในเอกสารพิพาท เป็นลายมือชื่อจริง นอกจากนี้นายเกษมได้มอบหมายให้ทนายความยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลแล้ว โดยลายมือชื่อที่ปรากฏในเอกสารทั้งหมดนั้น นอกจากนายเกษมจะยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของตนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของศาลยุติธรรมที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์เอกสารมานานถึง 48 ปีติดต่อกัน ได้มีความเห็นยืนยันว่า ลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารเหล่านั้น ไม่ใช่ลายมือชื่อของนายเกษม ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์กว่า 55 ปี และเป็นผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อในคดีที่โด่งดังจำนวนมาก ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ตามหลักมาตรฐานสากลกว่า 190 หน้าพร้อมภาพสีกราฟฟิกเทียบเคียงตัวอย่างลายมือชื่อที่แท้จริงของ นายเกษม จำนวน 52 ลายมือชื่อ กับลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารปลอมต่าง ๆ พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

นายเกษม กล่าวอีกว่า ตนไม่ได้เป็นโรคความจำเสื่อม และมีใบรับรองแพทย์จากศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพยืนยันว่า มีสติสัมปะชัญญะอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถทำนิติกรรมต่าง ๆ ได้สามารถเขียนลายมือชื่อได้ปกติ ซึ่งหากมีการทำพินัยกรรมหรือธุรกรรมต่าง ๆ ถือว่ามีสติดี และยืนยันว่าลายเซ็นในการทำนิติกรรมในบริษัทวินด์ฯ ไม่ใช่ของตน เพราะตนบริหารงานมานานเป็นผู้บริหารมากว่า 70 บริษัท ทำงานมากกว่า 40-50 ปีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า ลายเซ็นของตนเองเป็นอย่างไร การที่ออกมาชี้แจงวันนี้ ไม่ต้องการให้ผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหายไปด้วย และขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

ด้านนายกฤษณ์ ณรงค์เดช บุตรชายคนโตของนายเกษม กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตรวจพบว่า นายณพมีการโยกย้ายเงินออกจากบริษัทฯ โดยที่ตนและกรรมการ ไม่ได้รับรู้ เป็นวงเงินกว่า 1,800 ล้านบาทและเบื้องต้นนำมาคืนแล้ว 700 ล้านบาท และยังเหลืออีก 600 ล้านบาท ซึ่งตนจะดำเนินการฟ้องร้องกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการไซฟ่อนเงิน ยกเว้นน้องชายอาจจะฟ้องร้องในเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร โดยที่ผ่านมาได้มีการสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้นกับน้องชายมาโดยตลอด แต่ก็โดนบ่ายเบี่ยงไม่ได้พูดข้อเท็จจริง สำหรับการขายหุ้นบริษัทเคพีเอ็นแลนด์ให้กับบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML นั้น ทำอย่างถูกต้องมีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น โดยได้รับการโหวตผ่านมากกว่า 50% 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว นายเกษมได้นำลายมือชื่อของตน และรายงานการตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรมและผู้เชี่ยวชาญของต่างประเทศ เปรียบเทียบกับลายมือชื่อปลอม มาโชว์ให้ผู้สื่อข่าวดูด้วย

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0