โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ศาล รธน. ชี้ชัด ไม่ยุบอนาคตใหม่ แต่ข้อบังคับพรรคต้องไม่ใช้คำที่คลุมเครือ

ไทยรัฐออนไลน์ - Politics

อัพเดต 21 ม.ค. 2563 เวลา 08.45 น. • เผยแพร่ 21 ม.ค. 2563 เวลา 05.55 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

ศาล รธน.ชี้ อนาคตใหม่ ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง แต่ข้อบังคับพรรคต้องไม่ใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือที่ทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ โยน กกต. ทำหน้าที่เพิกถอนข้อบังคับ ส่วนความผิดอาญา ต้องว่าตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

วันที่ 21 ม.ค. เมื่อเวลา 12.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยกรณีที่นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของ พรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถูกร้องที่ 2 นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ถูกร้องที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ โดยคำร้องของนายณฐพร ขอให้ศาลวินิจฉัยใน 3 ประเด็น คือ 1.ข้อบังคับของพรรคเป็นโมฆะหรือไม่ 2.ผู้ถูกร้องมีการกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ 3.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ รวมทั้งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด โดยผู้ถูกร้องทั้ง 4 ไม่ได้เดินทางมารับฟังคำวินิจฉัย แต่ได้ทราบนัดโดยชอบแล้ว

ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มอบมายให้นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ เป็นผู้อ่านคำวินิจฉัย โดยระบุว่า ผู้ร้องระบุว่า ข้อบังคับ นโยบาย และสัญลักษณ์ของพรรค ไม่ถูกต้องไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งการออกข้อบังคับพรรคการเมือง เป็นส่วนหนึ่งในการจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ที่ต้องยื่นเอกสารต่อ กกต. และเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องตรวจสอบว่า คำขอจดทะเบียนพรรค เอกสารหลักฐานที่ยื่น ถูกต้องและครบถ้วน ตามที่กฎหมายระบุหรือไม่ ซึ่งถ้าเห็นว่า ถูกต้องแล้ว ให้นายทะเบียนเห็นชอบ รับจดทะเบียนพรรคการเมือง และประกาศในราชกิจจานุเบกษา กรณีนี้แสดงว่าข้อบังคับพรรคไม่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

อย่างไรก็ตาม หากมีการปรากฏในข้อเท็จจริงในภายหลังว่า ขัอบังคับพรรคการเมือง มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองนั้น เป็นหน้าที่และอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมือง รายงานไปยังกกต. ให้เพิกถอนข้อบังคับดังกล่าวได้ ซึ่งข้อเท็จจริง ในกรณีนี้หาได้มีการกระทำดังกล่าว จึงยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอ ว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 4 เข้าข่ายตามคำร้อง แต่ผู้ร้องมีข้อห่วงใยของผู้ร้องในฐานะพลเมือง ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และประเทศชาติ

ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุด้วยว่า คำประกาศอุดมการณ์ การใช้ข้อความในข้อบังคับของพรรคการเมือง ที่ระบุว่า “หลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ” แทน คำว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นั้น เห็นว่าข้อบังคับพรรคต้องมีความชัดเจน ไม่ควรมีความคลุมเครือ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความแตกแยกจากชนในชาติได้ ดังนั้น กกต. มีอำนาจหน้าที่จะพิจารณาให้เพิกถอนข้อบังคับได้ เพื่อป้องกันความสับสน

ส่วนกรณีที่ผู้ร้อง กล่าวอ้างว่า ผู้ถูกร้องมี แนวคิดปฏิกษัตริย์นิยม ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง สังคมไทย เช่น การให้สัมภาษณ์ การแสดงความเห็น การแสดงความเห็นต่างๆ ศาลเห็นว่า การพิจารณาว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิและเสรีภาพในการล้มล้างการปกครอง ต้องปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะให้เห็นชัดเจน และวิญญูชน เห็นว่า เป็นกาารใช้สิทธิ โดยการกระทำนั้นต้องดำเนินการอยู่ และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสื่อในอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องทั้ง 4 ต้องการล้มล้างการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนจะผิดอาญาหรือไม่ต้องไปว่ากันตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาในการอ่านคำวินิจฉัยเพียง 10 นาทีเท่านั้น

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0