โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ศาลฎีกา สั่ง อาร์เอส เทเลวิชั่น จ่าย “แพนเค้ก” 1 ล้าน นำภาพ เสียงไปโฆษณา โดยไม่ได้รับอนุญาต

Manager Online

อัพเดต 20 พ.ย. 2561 เวลา 09.44 น. • เผยแพร่ 20 พ.ย. 2561 เวลา 09.44 น. • MGR Online

MGR online - ศาลฎีกา พิพากษาให้ อาร์เอส เทเลวิชั่น จ่ายค่าเสียหายแพนเค้ก 1 ล้าน ฐานนำภาพและเสียงไปโฆษณา "ใครๆ ก็ดูช่อง 8" โดยเจ้าตัวไม่ยินยอม

วันนี้ (20 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ พ.2293/2558 ที่ น.ส.เขมนิจ จามิกรณ์ หรือ แพนเค้ก อายุ 30 ปี ดาราสาวชื่อดัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท อาร์เอส เทเลวิชั่น จำกัด เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท

โจทก์ฟ้อง เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2558 สรุปว่า โจทก์เป็นดารานางแบบ นักแสดง ทำงานถ่ายละคร งานโฆษณา ออกเผยแพร่ในสื่อวิทยุโทรทัศน์ ในสังกัดช่อง 7 สี ส่วนจำเลยเป็นบริษัทประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ ประกอบกิจการในลักษณะเดียวกันกับโจทก์ เมื่อต้นปี 2558 ได้มีการจัดงานกิจกรรมสันทนาการบันเทิง หรืองานอีเวนต์ ในสถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร โจทก์ได้รับเชิญจากเจ้าของงานอีเวนต์ ไปปรากฏตัวในงานเช่นเดียวกับดารานักแสดงอื่นๆ

ทั้งนี้ งานดังกล่าวมีช่างภาพ ผู้สื่อข่าว สื่อมวลชนแขนงต่างๆ สายบันเทิงไปร่วมรายงานข่าวและบันทึกภาพจำนวนมาก โดยปกติในทางปฏิบัติ ก็จะมีผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์และนำภาพข่าวนั้นไปเสนอในสถานีคลื่นความถี่ของแต่ละคน ไม่เกินครั้งสองครั้ง แต่จำเลยได้ให้ผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์โจทก์ และให้พูดว่า "ใครๆ ก็ดูช่อง 8" เพื่อนำไปออกข่าวบันเทิง โจทก์ก็ให้สัมภาษณ์ โดยมีภาพโจทก์พูดข้อความดังกล่าว จากนั้นประมาณเดือน ก.พ.-มี.ค. 2558 ได้มีการนำภาพและข้อความว่า “ใครๆ ก็ดูช่อง 8” ไปออกอากาศและผ่านทางช่องทางยูทูบ หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่โจทก์เป็นดารานักแสดงในสังกัดช่อง 7 สี ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงฟ้องเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทน จำนวน 5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันที่ 26 พ.ค.2558 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ชำระค่าธรรมเนียมแทนโจทก์

จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันที่ 26 พ.ค.2558 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ต่อมาจำเลยยื่นฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้อง

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า การนำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่าที่จำเลยฎีกาอ้างว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยนำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ แต่พยานจำเลยที่เป็นผู้สื่อข่าวและเข้าสัมภาษณ์โจทก์ไม่ได้เบิกความยืนยันถึงเรื่องนี้ ซึ่งเบิกความเพียงว่า โจทก์ยินยอมให้บันทึกภาพและเสียงพูดของโจทก์เท่านั้น ถ้ายินยอมเพียงเท่านี้จะไปถือว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยนำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้นไม่ได้ ถ้าโจทก์นำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์แล้วจะถือว่าโจทก์ผิดสัญญากับสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ที่ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าทางโทรทัศน์ให้ผู้อื่น อีกทั้งขณะสัมภาษณ์โจทก์ก็ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าก่อนว่าจะนำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ จากเหตุดังกล่าวที่โจทก์เบิกความว่า โจทก์ไม่ได้ยินยอมให้นำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ โดยน่าเชื่อตามที่โจทก์เบิกความว่า โจทก์ยินยอมเพียงให้นำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปออกรายการข่าวบันเทิงรายวันเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ที่จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์ปล่อยให้จำเลยนำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ติดต่อกันนานนับเดือนโดยไม่มีการโต้แย้งคัดค้าน และทันทีที่โจทก์โต้แย้งจำเลยก็หยุดโฆษณาประชาสัมพันธ์ทันทีในเดือนมีนาคม 2558 จึงถือว่าในช่วงที่โจทก์ยังไม่โต้แย้งโจทก์ยินยอมให้จำเลยนำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์แล้ว จำเลยฎีกาเช่นนี้ไม่ได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โจทก์จึงไม่ทราบเรื่องและไม่ได้โต้แย้ง และการที่จำเลยฎีกาว่า ถ้าโจทก์ไม่ได้ยินยอมให้จำเลยนำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ ก็น่าจะปฏิเสธไม่พูดเช่นนั้น การที่โจทก์พูดถือว่าโจทก์ยินยอมให้นำไปโฆษณาแล้ว เห็นว่าการจำเลยนำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์จนเป็นผลทำให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 และสื่อมวลชนเข้าใจผิดคิดว่าโจทก์ผิดสัญญาโดยจะย้ายไปอยู่ในสังกัดสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ตามที่กล่าวมาแล้ว

เมื่อโจทก์เป็นดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง จึงถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงแล้ว ดังนั้น การที่จำเลยฎีกาว่า การย้ายสังกัดของนักแสดงเป็นเรื่องปกติไม่ถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง และโจทก์ไม่มีหลักฐานการนำสืบให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยจะได้ประโยชน์จากคำพูดของโจทก์มากน้อยเพียงใด ในทำนองว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง จำเลยจะฎีกาเช่นนี้ไม่ได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นและแม้ศิลปินและดารานักร้องคนอื่นก็พูดเช่นเดียวกับโจทก์อย่างที่จำเลยฎีกาก็เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ได้เป็นเครื่องชี้แสดงว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง อีกทั้งเมื่อผู้จัดการส่วนตัวเบิกความว่า ในการรับงานโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าทางโทรทัศน์ โจทก์จะคิดค่าจ้างรายละ 1,000,000 บาท ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายต่อชื่อเสียงให้โจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท เห็นว่าเป็นจำนวนที่พอสมควรแล้ว พิพากษายืน

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0