โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

วิธีดีท็อกซ์น้ำตาลออกจากร่างกายคอร์สสั้นๆแค่ 10 วัน

issue247.com

อัพเดต 07 ธ.ค. 2561 เวลา 09.00 น. • เผยแพร่ 09 ธ.ค. 2561 เวลา 00.00 น.

น้ำตาลเป็นสิ่งที่เราบริโภคทุกวัน การขับสารพิษเพื่อขจัดน้ำตาลออกจากร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ โรคอ้วนและโรคเรื้อรังส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากน้ำตาล นอกจากนี้น้ำตาลยังก่อให้เกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคสมองเสื่อม โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคซึมเศร้า สิว รวมถึงภาวะมีบุตรยากด้วย ชาวอเมริกันจะบริโภคน้ำตาลโดยเฉลี่ยประมาณ 152 ปอนด์ต่อปีหรือเท่ากับวันละ 22 ช้อนชา ขณะที่เด็กๆบริโภคประมาณวันละ 34 ช้อนชาหรือมากกว่าน้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์ 2 ขวดเสียอีก

การขจัดสารพิษจากน้ำตาลออกจากร่างกายจะทำลายวงจรการเสพติดความอยากคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลที่ทำลายสุขภาพของเรา ซึ่งอาจใช้เวลาราว 10 วัน วิธีนี้จะไม่มีการอดอาหาร เราจะรู้สึกมีแต่ความสุขและความสมบูรณ์ เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนการดีท็อกซ์ 10 วันนี้คุณจะได้รับร่างกายและจิตใจที่ดีกลับคืนมา

 

1. ถ้าคุณตัดสินใจทำดีท็อกซ์ คุณต้องทำแบบทดสอบ

  • คุณเคยเป็นโรคเบาหวานหรือเบาหวานชนิดที่ 2 หรือไม่
  • คุณมีไขมันหน้าท้องหรือไม่
  • คุณมีน้ำหนักเกินหรือไม่
  • คุณมีความอยากน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตหรือไม่
  • คุณมีปัญหาในการลดน้ำหนักจากอาหารไขมันต่ำหรือไม่
  • คุณมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมัน HDL ต่ำ หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือไม่
  • คุณรับประทานอาหารแม้ว่าคุณจะไม่หิวหรือไม่
  • คุณเคยหมดสติหลังจากรับประทานอาหารหรือไม่
  • คุณรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างเนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานของคุณหรือไม่
  • คุณมีอาการลงแดงหากคุณลดหรือหยุดรับประทานแป้งหรือน้ำตาลหรือไม่
  • คุณต้องการรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นเพียงเพื่อต้องการรู้สึกดีใช่หรือไม่

 

หากคุณตอบว่า "ใช่" เป็นส่วนใหญ่คุณอาจต้องเริ่มดีท็อกซ์โดยเร็วที่สุด

 

2. ต้องหักดิบ

บางครั้งคุณจำเป็นต้องหยุดโดยเด็ดขาด มันจะช่วยฟื้นฟูสารสื่อประสาทและฮอร์โมนในร่างกายซึ่งเป็นผลจากการหยุดบริโภคน้ำตาลทุกรูปแบบ ผลิตภัณฑ์จากแป้งและสารให้ความหวานเทียมนั้นจะก่อให้เกิดความอยากเพิ่มขึ้น รวมถึงชะลอกระบวนการเผาผลาญด้วย

 

3. ไม่ดื่มแคลอรี่

แคลอรี่เหลวมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าอาหารจำพวกแป้งและอาหารที่เป็นของแข็ง แคลอรี่เหลวจะเปลี่ยนการกักเก็บไขมันที่ตับไปเป็นไขมันบริเวณหน้าท้อง

 

4. มื้อเช้าสำคัญที่สุด

อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมาก โปรตีนคือกุญแจสำคัญในการสร้างสมดุลของระดับน้ำตาลในกระแสเลือดและอินซูลิน รวมถึงตัดความอยากทั้งหมดด้วย

 

5. รับประทานคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม

มิฉะนั้นน้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นแน่ๆ ผักใบเขียวในตระกูลบร็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเขียว เห็ด หัวหอม ซูกินี่ มะเขือเทศ ยี่หร่า มะเขือยาว อาร์ติโช้คและพริกชี้ฟ้าล้วนเต็มไปด้วยแป้ง

 

6. ต่อสู้กับน้ำตาลด้วยไขมัน

คุณควรรู้ว่าไม่ใช่ไขมันทุกตัวที่ทำให้คุณอ้วน แต่พวกมันจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มท้อง โดยการปรับสมดุลน้ำตาลในกระแสเลือด นอกจากนี้เราควรบริโภคไขมันดีเช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ เนยมะพร้าว อะโวคาโด และกรดน้ำมันโอเมก้า 3

 

7. ในกรณีฉุกเฉิน

จงเตรียมพร้อมเสมอ คุณคงไม่ต้องการอยู่ในนาทีฉุกเฉินเมื่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือดลดลง คุณเริ่มตะบะแตกโหยหาน้ำตาลและอยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้า และปรากฏว่าในละแวกนั้นไม่มีร้านอาหารเพื่อสุขภาพเลย เราจึงควรเตรียมชุดอาหารฉุกเฉินให้พร้อมอยู่เสมอ อยากจะเป็นคุกกี้เพื่อสุขภาพติดกระเป๋าไว้ หรือนมถั่วเหลืองชนิดซองก็ได้

 

8. ลดความเครียด

ความเครียดจะทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มสูงขึ้นและทำให้รู้สึกหิวซึ่งเป็นสาเหตุของไขมันหน้าท้องและนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 การสูดหายใจลึกๆจะช่วยกระตุ้นประสาทส่วนพิเศษเวกัสที่เปลี่ยนจากที่เก็บไขมันเป็นการเผาผลาญไขมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นอาการเครียดก็จะทุเลาลง

 

9. ต่อต้านการอักเสบ

น้ำตาลจะทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สาเหตุของการอักเสบที่พบบ่อยที่สุดคือการรับประทานอาหารจำพวกน้ำตาล แป้ง และไขมันทรานส์ ซึ่งได้แก่กลูเต็นและนมนั่นเอง

 

10. การนอนหลับ

คุณควรมีเวลาพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอเนื่องจากการนอนจะช่วยขจัดความอยากน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต การอดนอนจะทำให้ฮอร์โมนความหิวเพิ่มขึ้น ดังนั้นการนอนหลับจึงเป็นวิธีต่อสู้กับความอยากรับประทานที่มากเกินไปได้ดีที่สุด

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0