โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

วันละครั้งก็เพียงพอ

BLT BANGKOK

อัพเดต 22 พ.ค. 2562 เวลา 07.54 น. • เผยแพร่ 22 พ.ค. 2562 เวลา 07.53 น.
229b4ccfa8b5d1bd03fbde34f46376cf.jpg

พูดถึงสมาธิกับการทำงานแล้ว หลายคนอาจสงสัยจะต้องทำมากน้อยแค่ไหนถึงจะได้สติสัมปชัญญะที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผลขึ้นมานั้น ต่อประเด็นดังกล่าวนั้นพระธรรมมงคลญาณ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลและประธานสถาบันพลังจิตตานุภาพ ได้ฝากข้อคิดในระหว่างบรรยายธรรม “ธรรมะฟ้าสาง” วันพุธที่ 27 มกราคม 2559
สมาธินั้นเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญของมนุษยชาติ ถ้าหากขาดสมาธิคนจะไม่สมบูรณ์ หรือเรียกได้ว่าไม่เต็มเต็งนั่นแหล่ะ คนมีสมาธิจึงจะเป็นคนที่สมบูรณ์
ที่จริงแล้วคนเรานั้นมีสมาธิที่เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองกับตัวของแต่ละคนอยู่แล้ว สมาธิธรรมชาติที่ติดตัวมาได้มาจากการพักผ่อนนอนหลับเป็นพื้นฐาน แต่หากจะถามว่าเมื่อมีสมาธิธรรมชาติแล้วทำไมยังต้องทำสมาธิขึ้นมาอีก ก็เพราะสมาธิธรรมชาตินั้นแป็นเพียงต้นทุนหรือเป็นแต่เพียงพื้นฐาน ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความประเสริฐขึ้นมาได้เต็มที่ เราจึงต้องพัฒนาสมาธิขึ้นมาอีก
เช่นเดียวกับการสร้างเขื่อน ทำเขื่อน สร้างแม่น้ำลำคลองที่โดยธรรมชาติมันก็ไหลไปตามธรรมชาติมาเป็นพันๆ ปี ต่อมาเราก็มาพัฒนาเทคนิคสร้างคลอง สร้างเขื่อนกักเก็บน้ำอย่างเขื่อนภูมิพล เขื่อนอุบลรัตน์ ที่มีการสร้างขึ้นมาในภายหลังนั้น เขื่อนเหล่านี้จะทำประโยชน์กักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง สามารถทำการเกษตร สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาให้ผู้คนได้ใช้ประโยชน์ นี่ก็คือการพัฒนาธรรมชาติให้มันมีประโยชน์ขึ้นมา
สมาธิก็เปรียบประดุจเดียวกัน เราต้องพัฒนาสร้างสมาธิเสริมขึ้นมาจากเดิมที่ได้มาจากธรรมชาติ เมื่อเราจะทำสมาธิให้เป็นประโยชน์อย่างจริงจัง เราก็ต้องพัฒนาขึ้น สมาธิจะทำให้เรามีสติปัญญา จะทำให้เรามีความสุข ทำให้เรามีความประทับใจ และทำให้เราเชื่อมั่นถึงการมีชีวิตอยู่ว่ามันมีประโยชน์
เพราะอะไร? ก็เพราะว่าเมื่อเรายังไม่ได้ทำสมาธิอารมณ์มันเยอะ ก็เท่ากับเป็นโคลนที่เข้ามาปิดของดีเอาไว้เสีย แต่เมื่อเราทำสมาธิก็เปรียบเอาน้ำล้างโคลนเหล่านั้นออกไปให้เห็นเม็ด ให้เห็นความประเสริฐ ให้เห็นความเลิศของมนุษย์ เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจึงพยายามที่จะให้พวกเราสร้างสมาธินี้ขึ้นมาให้ปรากฏชัดขึ้นมาว่าเป็นประโยชน์กับเราได้อย่างไร
“พระพุทธเจ้าของเรานั้นก็ตรัสรู้จากการทำสมาธินี่แหล่ะ เมื่อพระองค์นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ แล้วปราบมารได้ ปราบกิเลสได้ก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์ต้นนั้น เรามีหน้าที่ทำสมาธิ ลูกเดียว เมื่อทำแล้วสมาธิก็จะขยายให้เป็นฌานบ้าง เรียกว่าจุดพลังอำนาจบ้าง ที่จะให้เกิดขึ้นแก่ตัวของเรานั้น แต่ว่าเราไม่ได้ไปทำอะไรให้มากมายนอกจากว่าเราทำสมาธิลูกเดียว
เมื่อเป็นเช่นนั้น พระธรรมคำสั่งสอนของพระ-พุทธเจ้าจึงประเสริฐ เรียกว่ามีความแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ตลอดเวลา ที่จะส่องหนทางชีวิตของเรานี้ให้ก้าวหน้า การที่จะเป็นเช่นนั้นมันเป็นออโตเมติกเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่เราทำคือสมาธินั้น ให้ไปเกิดพลังจิต เมื่อเกิดพลังจิตแล้วพลังจิตก็จะไปกระทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นแก่จิตใจของเรา”
“พลังจิตนั้นคือเป็นที่รวมของบุญ วาสนา บารมี และการที่จะทำให้มาก เจริญให้มากนั้น มันอยู่ที่ตัวของเราว่าจะทำอย่างไรเราถึงจะทำสมาธิให้มากได้ ในโอกาสที่เราทำนั้นแม้ว่าเราจะทำเพียงวันละครั้งเดียวอย่างนี้ก็ยังใช้ได้ หรืออย่างมากทำวันละ 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้งก็สุดแล้วแต่โอกาส
เมื่อเราทำสมาธิไปเมื่อไรนั้น ก็จะส่งเสริมพลังจิตของเราให้มากขึ้นมากขึ้นตามลำดับ เมื่อสมาธิของเราทำให้พลังจิตมากขึ้นแล้วจะอยู่ในจิตเป็นสิ่งที่เตือนเรา เตือนให้พากันสร้างตัวของเรานี้ เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ในการบุญการกุศลในการที่จะดำรงตนให้เป็นประโยชน์
“ถ้าหากว่าเราได้ทำสมาธิแล้ว ชีวิตของเรานี่จะไม่สูญเสียสลาย ไม่ใช่ว่าตายเปล่า ได้ของดีได้ของวิเศษ นับว่าเป็นแก้วรัตนมงคลอย่างยิ่งสำหรับตัวของเราเมื่อเราได้สมาธิเป็นสมบัติ เพราะว่าสมบัติที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธินี่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เราไปทำการทำงานอื่นๆ ยังยากกว่าตั้งเยอะแยะ เลื่อยไม้ ไสกบ ทำค้าขาย ไถไร่ไถนา หรือทำข้าราชการ รับงานรับการอะไรมันไม่ใช่ง่าย การงานพวกนั้นยากกว่าตั้งเยอะ
แต่การทำสมาธิทำได้ง่ายกว่ามาก แต่ก็แปลกทำไมคนถึงไม่ทำกัน การทำสมาธิได้นั้นประโยชน์มหาศาลจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ มาพูดกันเยินยอกันเล่นในแต่ละครั้งๆ แต่เพราะว่ามันเป็นความจริงที่ว่า เมื่อเราทำสมาธิแล้ว สมบัติจะเป็นสมบัติที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับตัวเราแล้ว ก็สำหรับเราต่อไปในอนาคต ทุกภพ ทุกชาติ” 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0