เมืองไทย 360 องศา
สำหรับคอการเมืองหรือคนในวงการคงพอเข้าใจและมองออกว่าก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในช่วงระยะไม่กี่เดือนมานี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ผันตัวเองลงสนามการเมืองอีกรอบในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย โดยเขาแสดงท่าทีแบบเปิดเปยให้เห็นว่ามีความใกล้ชิดกับ "ทักษิณ ชินวัตร" และกลุ่มเครือข่ายทางการเมืองในสังกัดอย่างออกนอกหน้า ซึ่งหลายคนก็มองออก
หลายคนจึงมองว่า ทั้งสองฝ่ายกำลังเป็น"พันธมิตรทางการเมือง"ในช่วงการเลือกตั้งคราวนี้ โดยลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน โดยหากพิจารณากันแบบทำความเข้าใจก็คงเข้าใจได้ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็หวังจะได้ประโยชน์จากมวลชนที่สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายโดยเฉพาะหวังจะ"เก็บตก"คะแนนเสียงปาตี้ลิสต์ในแต่ละเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ ขณะเดียวกันในฟากของ พล.ต.อ.เสรี ก็จะมุ่งโหมโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)อย่างรุนแรง ด้วยบุคลิกการพูดการจาที่กระหน่ำลงไปก็ยังถือว่ายังเป็น"เสรีคนเดิม"เหมือนก่อนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ ทุกอย่างก็ทำท่าเดินไปด้วยดี
แต่อย่างไรก็ดีบรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปแบบ"หักมุม"มากขึ้น จนล่าสุดเพิ่งได้เห็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หันปากมาถล่ม พรรคเพื่อไทยแบบเต็มๆและชัดเจนแล้ว ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวเริ่มเห็นชัดหลังจาก ที่ รตอ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เวลานี้ได้ตำแหน่งหัวหน้าที่ปราศรัยของพรรคเพื่อไทยออกมาแบ่งกลุ่มการเมืองโดยแยกพวกเขาว่าเป็น"ฝ่ายประชาธิปไตย"เช่นเดิม และทำนายว่าพรรคการเมืองเหล่านี้จะชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล
แต่ที่น่าสนใจก็ในจำนวนพรรคเหล่านั้น มีพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ พรรคประชาชาติ และพรรคอนาคตใหม่ แต่กลับไม่มีชื่อ"พรรคเพื่อชาติ"ที่มี นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายยงยุทธ ติยะไพรัชให้การสนับสนุน กับ"พรรคเสรีรวมไทย"ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แต่อย่างใด
ในตอนแรกยังคิดว่า ในยุคปัจจุบันด้วยสังขารที่ร่วงโรย เคลื่อนไหวเชื่องช้าอาจหลงลืมจึงพูดแบบนั้นออกไปก็ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็กล่าวถึงคำพูดดังกล่าวของ รตอ.เฉลิมแบบไม่แคร์ในทำนองว่าให้ประชาชนตัดสินเองในวันเลือกตั้ง
และล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมาถึงได้เห็นภาพชัดเจนแบบฟันธงแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายฝ่ายหนึ่ง กับอีกฝ่ายหนึ่งคือ กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส น่าจะออกมาในลักษณะ"ทางใครทางมัน" แม้ว่าจะใช่เป็นความขัดแย้งอะไรกัน แต่ก็ถือว่าเป็น"คนละพวก"กันอย่างแน่นอนแล้ว
เพราะเมื่อพิจารณาจากคำพูดของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่กล่าวถึงคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่า หากเป็นคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย บ้านเมืองก็จะเหมือนเดิม หากเป็น นายชวน หลีกภัย และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ บ้านเมืองก็จะเหมือนเดิม เช่นกัน ส่วนถ้าเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บ้านเมืองก็จะยิ่งแย่ลง แต่ถ้าเป็นเขาบ้านเมืองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีอย่างแน่นอน
นั่นเป็นคำพูดในช่วงที่มีบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งก็ย่อมต้องกล่าวหาโจมตีฝ่ายตรงข้าม เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สิ่งที่ต้องการให้โฟกัสก็คือคำพูดที่กล่าวถึง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทยที่กล่าวว่า"ถ้าเธอเป็นนายกฯบ้านเมืองก็เหมือนเดิม"เป็นการแสดงให้เห็นว่า"ไม่ให้ราคา ไม่รักษาความสัมพันธ์"กันแล้ว
เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาความเป็นมาเป็นไปจนถึงวันนี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ทักษิณ ชินวัตรและเครือข่ายได้"ลอยแพ" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และพรรคเสรีรวมไทยไปแล้วอย่างชัดเจน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อมีการแตกพรรค"ไทยรักษาชาติ"ออกมา ก็ต้องถือว่านี่คือพรรคเครือข่ายที่ไม่ต่างจาก"บริษัทลูก"นั่นเอง เพราะจะว่าไปแล้วก่อนที่จะไปถึงพรรคเสรีรวมไทยตามรูปการณ์ที่น่าจะเข้าใจกว่าก็น่าจะเป็นพรรค"เพื่อชาติ"ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ด้วยซ้ำไป
แต่เอาเป็นว่าในที่สุดแล้วจะเป็นพรรคไหน ที่ยังอยู่ในเครือข่าย จะมีพรรคเสรีรวมไทย ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รวมอยู่ด้วยหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะโดยสภาพความเป็นจริงแล้วพรรคดังกล่าวก็เป็นเพียงพรรคขนาดเล็ก ไม่ได้อยู่ในระดับ"ขั้วหลัก"ทางการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้างว่าทำไมเขาถึงถูก"ลอยแพ"แบบไม่ใยดีแบบนี้ กลายเป็นว่าเวลานี้เขาต้องเดินหน้าสู้ตามลำพัง แต่ขณะเดียวกันหากไม่ได้เครือข่ายมวลชนจากฝ่าย ทักษิณ มาหนุนช่วยอยู่บ้างมันก็ลำบาก
สถานการณ์ที่เป็ฯอยู่นี้สะท้อนให้เห็นว่าในทางการเมืองหากไม่ชัวร์ไม่ได้ประโยชน์มันก็พลิกผันได้ตลอดเวลา !!
