โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

วัฒนธรรม ‘การพึ่งพาอาศัย’ ที่ต่างกันสุดขั้วของอเมริกา-ไทย - เพจ Beautiful Madness by Mafuang

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 14 ม.ค. 2563 เวลา 10.59 น. • เพจ Beautiful Madness by Mafuang

จำได้ว่าสิ่งแรกๆ ที่ทำเราตกใจเมื่อมาเหยียบดินแดน Los Angeles (ลอส แองเจลิส) แห่งนี้

คือวินาทีที่กำลังจะเดินขึ้นรถบัส

เราเหลือบไปเห็นคุณยายคนหนึ่ง ถือไม้เท้า เดินหงึกๆ กำลังจะก้าวขึ้นบัส

ด้วยความเคยชิน เรารีบวิ่งไปบอกทันทีว่า

‘ให้หนูช่วยมั้ยคะ’ พร้อมรีบยื่นมือช่วยพยุง

แต่กลับกลายเป็นว่า

คุณยายหันมาค้อนใส่ ด้วยหน้าตาฉุนเฉียว

เหมือนจะบอกว่า ‘ฉันทำเองได้!’ เธอคิดว่าฉันไม่มีปัญญาเดินเหรอ

แล้วหลังจากนั้น รถบัสก็ทำการเปิดระบบลดระดับลงมา

พร้อมกับกระเด้งทางเลื่อนให้คุณยายเดินขึ้นได้ง่ายๆ

เดินเข้ามาในรถ ก็มีที่นั่งพิเศษอย่างปลอดภัยสำหรับคนแก่

หรือแม้กระทั่งคนที่นั่งบนรถเข็น ก็มีตัวยึดอย่างแข็งแกร่ง

ที่ี่นี่เต็มไปด้วยระบบที่ให้ ใคร ไม่ว่าหน้าไหน 

แก่ เด็ก

รวย จน

อยู่ด้วยตัวคนเดียวได้หมด

เจอครั้งแรกเข้าไป เหวอมาก กับมุมมองความคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับบ้านเรา

ไม่พอนะ

มีเพื่อนเตือนมาอีกว่า

ถ้าเห็นคนไร้บ้านกำลังขนของขึ้นรถเข็นของเขา

หรือเห็นคนขับรถบางคนกำลังลำบากอยู่

อย่าไปช่วยเชียวนะ หลายครั้งเลยพวกเขาจะมาฟ้องร้องเราได้

หาว่า ‘เราไปทำข้าวของเขาเสียหาย’

เออ ว่าไปนั่น มาเล่นกับ ‘ความใจดี’ ของเราซะนี่

.

.

.

หรืออีกอย่างที่เราตกใจ

คือเพื่อนสนิทชาวอเมริกันของเรา

พูดเอาไว้ว่า

‘พอฉันเรียนจบโรงเรียนมัธยม แม่ก็ไล่ฉันออกจากบ้าน ไปหาที่อยู่อื่น ไปเรียนมหา’ลัยที่รัฐอื่น อยู่คนเดียว ดูแลตัวเองให้ได้ นี่คือความรักของแม่มอบให้ฉัน เขาสอนให้ลูกเติบโต’

และดูเหมือนคนส่วนใหญ่ที่นี่เขาก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน

การส่งพ่อแม่ของตัวเองเข้าบ้านพักคนชรา

ถือเป็นเรื่องปกติมาก ค่อนไปในทางเรื่องดีซะด้วยซ้ำ

‘เพราะพ่อแม่จะได้อยู่ในที่สุขสบาย มีพยาบาลคอยดูแลอย่างดี และมีผองเพื่อนวัยชราด้วยกัน’

.

.

.

มองมาที่เมืองไทยบ้านเรา

อยู่กันด้วยความพึ่งพาอาศัยกันเป็นครอบครัวใหญ่

ช่วยเหลือกันได้รุ่นสู่รุ่น

แม่เลี้ยงลูก

ตายายก็มาช่วยกันเลี้ยงหลาน

ลูกเลี้ยงพ่อแม่ เลี้ยงปู่ย่าต่อ

เรามักชินกับความ ‘สบายใจ’ 

ไม่ว่าชีวิตจะเกิดอะไรขึ้น

เรารู้ว่า เราจะมี ‘แรงหนุน’ จากคนที่บ้านเสมอ

หันไปเมื่อไหร่ ไม่เคยว้าเหว่

แต่มันก็ทำให้เราเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองลึกๆ

เพราะจะรอการตอบรับจากครอบครัวก่อนจะลงมือทำอะไรเสมอ

นั่นคือสภาพสังคมที่เราเติบโตมา

ทุกคนปกป้องเรา เหมือนทุกคนเป็นพี่เลี้ยงเรา

จนมาอยู่อเมริกานานขึ้นเรื่อยๆ

ชินกับการอยู่ด้วยตัวเองแบบไม่พึ่งใคร

พอมีเปัญหาในชีวิต ก็เล่าให้ครอบครัวที่ไทยฟัง

แค่อยากจะแบ่งปันให้ฟังเฉยๆ

พวกเขาก็เริ่มเสนอทางแก้ให้เราเป็นข้อๆ

ยื่นตัวช่วยมาให้เป็นตับ

อยู่ดีๆ เราก็เกิดความรำคาญ

และน้อยใจ ที่ทำไมไม่มีใครเชื่อในตัวเรา ว่าเราจะสามารถจัดการมันได้

จน เห้ย! เราจะไปโกรธพวกเขาได้ยังไง

เพราะสิ่งที่พวกเขาทำกับเรา มันคือวิธีการสุดสมบูรณ์แบบที่จะช่วยเหลือเราได้เมื่อก่อน

เขาไม่รู้ว่าข้างในเราเติบโตขึ้นมากจากประสบการณ์ที่อยู่นี่

นอกจากจะเป็นมนุษย์ไม่ต้องพึ่งใครแล้ว

หลายครั้ง ความหงิมๆ ที่ดูเหมือนเป็นคนอ่อนโยนของเรามันก็หายไป

กลายเป็นก้าวร้าวขึ้น ปากจัด ยืนหยัดเพื่อตัวเองได้มากขึ้น

เพราะไม่มีใครจะมาสู้เพื่อเราได้แล้วเหมือนอยู่ไทย

หลายครั้งสะท้อนดูตัวเองตอนนี้ก็รู้สึกว่า เออ.. ไม่นุ่มนวลเหมือนเมื่อก่อนแล้วเนอะ…

.

.

.

ที่พูดมาทั้งหมด

ก็ตัดสินไม่ได้หรอกว่าวัฒนธรรมแบบไหนดีกว่ากัน

ความอบอุ่นใจมันต่างกัน

แต่ความเป็นปัจเจก มั่นๆ แบบไม่ต้องพึ่งใคร

มันก็ต่างกันมากเหมือนกัน

หาจุดที่ตัวเองสบายใจ

และเข้าใจคนแต่ละสังคมที่มาจากพื้นเพคนละอย่างกับเรา

เคารพที่มาที่ไปของอีกฝ่ายให้มากขึ้น

การเปิดใจนี่ล่ะ หัวใจสำคัญของทุกสิ่ง.

อ่านบทความใหม่จากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคาร

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0