มติจากที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เมื่อวันที่11 ธ.ค.62ที่ผ่านมาทำเอา “พรรคอนาคตใหม่” นั่งไม่ติด
เนื่องจากมติกกต.ให้ส่งเรื่องไปยัง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ให้วินิจฉัย ยุบพรรคอนาคตใหม่โดยมีเหตุอันเชื่อได้ว่า เป็นการรับบริจาคเงินโดย แหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา มาตรา 72 ของกฎหมายพรรคการเมือง อันมีต้นตอมาจาก การที่ “ธนาธร จึงุร่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจำนวน 191 ล้านบาท
หมายความว่า สถานการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ อยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ไม่สู้ดีนัก” เพราะ “ชะตากรรม” ของพรรค จะออกมาในทิศทางใด หลังจากที่ ธนาธร เองยังเอาตัวไม่รอด เมื่อโดนศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้พ้นสถานะการเป็นส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ จากกรณีถือหุ้นในธุรกิจสื่อ
และจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ก็ตามที่กลายเป็น “เงื่อนไขปัจจัย” ที่ทำให้เกิดความหวั่นไหว เกิดความไม่มั่นใจว่า ที่สุดแล้วพรรคอนาคตใหม่ จะดำรงอยู่เป็นพรรคการเมืองได้ยาวนานแค่ไหน ?
จนเกิด “งูเห่าสีส้ม” ปรากฎขึ้นในพรรคอนาคตใหม่ ท้าทาย หัวหน้าพรรค ที่ต้องยืนอยู่นอกสภาฯ หลายครั้งหลายครา
อย่างไรก็ดี การที่ธนาธรอยู่นอกสภาฯ หากมองในอีกมิติหนึ่ง นี่อาจเป็นโอกาสที่เปิดทางให้เขาสามารถเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สะดวกโยธินมากขึ้น
โดยเฉพาะการจัดกิจกรรม “วิ่งเพื่อประชาธิปไตย” โดยพรรคอนาคตใหม่ที่มี ธนาธร ออกเดินสายไปเปิดอีเว้นท์ ตามจังหวัดต่างๆล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา ธนาธร ไปเปิดตัวจัดงานที่สวนสาธาณะบึงพลาญชัยจ.ร้อยเอ็ด เพื่อปลุกประชาชนให้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐประหาร ประกาศตัวยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเผด็จการ กำลังถูกจับตามองว่ากิจกรรมดังกล่าวของพรรคอนาคตใหม่ที่นำร่อง กันอยู่ห้วงเวลานี้ ต้องการให้มาบรรจบกับอีเว้นท์ “วิ่ง ไล่ ลุง” ที่จัดขึ้นโดย “แนวร่วม” ของพรรคอนาคตใหม่ อีกกลุ่ม ซึ่งมีการนัดหมายวิ่งไล่ลุง กันในวันที่ 12 ม.ค.63 ด้วยหรือไม่
ประหนึ่งธนาธร และพรรคอนาคตใหม่เองรู้ซึ้งถึง “ชะตากรรม” ของตัวเองว่าจะอยู่ได้อีกยาวนานแค่ไหน ในเวทีสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นจึงหวังที่จะเปิดแนวรบ ไปรอกันที่นอกสภาฯแทน
อย่างไรก็ดี การจัดกิจกรรมทั้ง “วิ่งเพื่อประชาธิปไตย” และ “วิ่ง ไล่ ลุง” อาจจะต้องลุ้นกันต่อไปด้วยว่า จะสามารถ “ปลุกเร้า” แนวร่วมในภาคสนาม ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะกว่าจะไปถึงวันที่ 12 ม.ค.63 มีความเป็นไปได้สูงว่า อีเว้นท์ดังกล่าวอาจจะถูก “เบรค” ด้วยกิจกรรมจากกองทัพเอง ไปจนถึงการส่ง “ฝ่ายความมั่นคง” ลงไปสแกนทุกความเคลื่อนไหว จนทำให้เกมไปต่อ “ได้ยาก” !
เวลานี้ภายในพรรคอนาคตใหม่ ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า พรรคประกอบขึ้นด้วย บุคคลหลากหลายกลุ่ม หลายอาชีพ ไม่ใช่มีเพียง “นักคิด” หรือนักวิชาการที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น หากแต่ในอีกด้านหนึ่ง พรรคอนาคตใหม่ ยังมี “นักการเมือง” ที่มาจากระดับท้องถิ่น วาดหวังที่จะได้มีโอกาสเติบโต ในระดับชาติ ดังนั้น การเมืองภาคสนามที่มีแต่จะโดน รัฐบาล “สกัด” อาจไม่ใช่ “คำตอบ”
การเคลื่อนไหว ของ “ขุนพล” จากพรรคอนาคตใหม่ในห้วงจังหวะที่กำลัง “นับถอยหลัง” อาจต้องเผชิญกับแรงเสียดทาน หนักหนาสาหัส ไม่ใช่น้อย !
