ผลตอบแทนของหุ้นไทย YTD ให้ผลตอบแทน -35% นั้นหมายความว่าหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาร่วงแรงถึง 35% จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหุ้นไทยเข้าสู่สภาวะหมีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยสภาวะวิกฤตเช่นนี้ บางคนมองว่าเป็นโอกาสที่จะลงทุน บางคนก็มองว่าเป็นความเสี่ยง
… อย่างไรก็ตามคนแต่ละคนย่อมมองไม่เหมือนกัน …
นี้เป็น 3 ข้อที่นักลงทุนต้องตระหนัก ถ้าคิดจะลงทุนใน "ภาวะวิกฤต" มีอะไรบ้างไปดูกันครับ
1. ในสภาวะวิกฤตเช่นนี้ นอกจากเราจะต้องมี "เงินสด" แล้ว อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ "ความกล้า"
กล้าเพียงพอที่จะลงทุน คนส่วนใหญ่มีเงินสดและไม่ได้เดือดร้อนมากถึงแม้จะอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำก็ตาม แต่ในยามที่เกิดวิกฤต คนเหล่านั้นมักไม่กล้าลงทุนเนื่องจากว่าพวกเขา "กลัวเกินไป" กลัวว่าเงินจะสูญหายไป
มีเงิน แต่ไม่มีความกล้า -- ไม่มีประโยชน์
ไม่มีเงิน แต่มีความกล้า -- ไม่มีประโยชน์
มีเงิน และมีความกล้า -- โอกาสมาถึงแล้ว … ดังนั้นทั้งเงินสด และความกล้ามีความสำคัญพอๆกัน
2. อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ การลงทุนอย่างถูกต้องนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ที่ "ราคาหุ้น" ตกลงมามากแค่ไหน แต่ประเด็นอยู่ที่เราเข้าใจธุรกิจมากแค่ไหน และราคาที่เราซื้อมีความสมเหตุสมผล มี Margin of Safety ที่เพียงพอหรือไม่ พูดง่ายๆคือไม่ซื้อในราคาที่แพงเกินไป
อย่างที่วอเร็น บัฟเฟตต์ บอกไว้ Price Is What You Pay, Value Is What You Ge (ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่คุณได้รับ)
3. อย่ารับมีดที่ร่วงลงมา
การที่ตลาดหุ้นเกิดเซอร์กิต เบรคเกอร์ หลายครั้งบ่งบอกว่าคนในตลาดกำลัง Panic Sell การเข้าไปรับซื้อในช่วง Panic Sell อาจจะเหมือนกับการ "รับมีด" ที่อาจจะแทงทะลุมือทำให้บาดเจ็บได้
โดยส่วนใหญ่แล้วหลังการ Panic Sell หุ้นไทยจะมี after Shock มีแนวโน้มลงต่อได้อีกเนื่องจากคนรับรู้ข่าวร้ายมากขึ้น ดังนั้นคนบางคนอาจจะรอจังหวะที่หุ้นหยุดไหลลง วอลุ่มดูซึมๆ ไม่มีคนสนใจจะลงทุนในหุ้นแล้ว อาจจะใช้โอกาสนี้ในการเก็บหุ้นที่ตัวเองเล็งเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ได้ซื้อในราคาต่ำสุด
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน วิกฤตตลาดหุ้นไทยครั้งนี้เราจะมองเป็นวิกฤต หรือโอกาส ก็ขึ้นอยู่กับความคิดแต่ละคนครับ
#ลงทุนด้วยความระมัดระวัง
stock2morrow
ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่
