โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ร้อง ป.ป.ช.สอบ 3 ส.ส.รัฐบาลเสียบบัตร ศรีสุวรรณลุยเอาผิด ระบุทุจริตต่อหน้าที่

ไทยรัฐออนไลน์ - Politics

อัพเดต 16 ก.พ. 2563 เวลา 16.50 น. • เผยแพร่ 16 ก.พ. 2563 เวลา 22.32 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

“ศรีสุวรรณ” ร้อง ป.ป.ช.สอบเพิ่ม 3 ส.ส.ขั้วรัฐบาลเสียบบัตรแทนกัน ระบุ “ธณิกานต์-โกวิทย์-ภูมิศิษฏ์” เข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง“วันนอร์” สำทับเรื่องใหญ่ต้องรับผิดชอบทั้งคนกดแทนกับเจ้าของบัตร “อนุดิษฐ์” จี้ต่อมสำนึกทำงาน ไม่ต้องรอใครมาชี้ผิด วอนฟังเสียงค้านยุบ อนค. อ้างประชาชนอยากให้ไปต่อ “จาตุรนต์” ชี้ปรากฏการณ์ใหม่คนหลากหลายกลุ่ม รุมต้านผู้ยึดอำนาจกำจัดฝ่ายตรงข้าม “เสรี”หยามรู้ชะตากรรมเลยดิ้นเฮือกสุดท้าย พท.เย้ยองครักษ์“ตู่” เป็นหมัน รู้ทันทีมป่วนจ้องวางบิลเมกมันนี่ “ยุทธพงศ์” โชว์ของแฉค่าโง่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ต่ออภิมหาสัญญาเช่า 50 ปี ประเคนบิ๊กเจ้าสัว “สนธิรัตน์” ยันไร้สัญญาณปรับ ครม.หลังศึกซักฟอก ลิ่วล้อหยันแค่ญัตติตามฤดูกาลน้ำท่วมทุ่ง

จากกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน ไม่ใช่เรื่องเล็ก โดยนักการเมืองผู้กระทำต้องมีความรับผิดชอบทางการเมือง ขณะที่พรรคฝ่ายค้านเรียกร้องให้มีจิตสำนึกไม่ต้องรอให้ใครมาชี้ความผิด ล่าสุดนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเอาผิด ส.ส.พรรครัฐบาล กรณีเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันระหว่างการพิจารณางบฯ ปี 63 เพิ่มอีก 3 ราย

ร้อง ป.ป.ช.สอบอีก 3 ส.ส.กดบัตรแทนกัน

เมื่อวันที่ 16 ก.พ.นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ในวันที่ 17 ก.พ. เวลา 10.30 น. จะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ให้ไต่สวนเอาผิด น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ นายโกวิทย์ พวงงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังท้องถิ่นไทและนายภูมิศิษฏ์ คงมี ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย กรณีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันในสภาผู้แทนราษฎร หลังจากก่อนหน้านี้สมาคมได้ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ส.ส.ที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวไปแล้ว 4 คน อาจเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น อาจเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 และเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากเมื่อวันที่ 7 ก.พ.กรณีการเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส.เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ใช้สิทธิออกเสียงลงมติแทนผู้ไม่ได้อยู่ร่วมประชุม ละเมิดหลักการพื้นฐานการเป็นสมาชิกสภาฯที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายของผู้ใด จึงต้องมายื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ หาก ป.ป.ช. วินิจฉัยว่ามีความผิดตามข้อห้ามอาจนำไปสู่การสิ้นสุดลงของตำแหน่ง ส.ส.ตามมาตรา 101 (7) ของรัฐธรรมนูญ 2560 ได้

“วันนอร์”ชี้เรื่องใหญ่ต้องรับผิดชอบทั้งคู่

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหากรณี ส.ส.เสียบบัตรแทนกันในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 จนต้องมีการพิจารณาใหม่ ส.ส.ที่ก่อเหตุต้องรับผิดชอบหรือไม่ว่า ส.ส.ที่กดบัตรแทนต้องรับผิดชอบ ทั้งคนที่กดบัตรแทนและคนที่มอบให้คนอื่นกดบัตรแทน เพราะศาลรัฐธรรมนูญชี้แล้วว่าการกระทำดังกล่าวไม่สุจริต ไม่ใช่แค่กรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร แต่คนอื่นสามารถร้องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตลอด หากพบมีพฤติกรรมหรือพยานหลักฐานว่าทุจริตลงคะแนน เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่

จี้ต่อมสำนึกทำงานไม่ต้องรอใครชี้ผิด

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ส.ส.เสียบบัตรแทนกันต้องแสดงความรับผิดชอบหรือไม่ว่า เรื่องนี้เคยให้ความเห็นแล้วว่าผู้ทำหน้าที่ ส.ส.และผู้บริหารพรรคการเมือง ถือว่าเป็นนักการเมืองที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าคนทั่วไป พฤติกรรมเสียบบัตรแทนกันคงไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่าเป็นการทำที่ผิดหรือไม่ ทั้งผู้บริหารพรรคและ ส.ส.ที่เสียบบัตรแทนกัน ควรต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองได้แล้ว และปกติการแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองขั้นสูงสุดที่นักการเมืองทั่วโลกปฏิบัติคือการลาออก หรือจะแสดงออกด้วย มาตรการอื่นๆ สุดแล้วแต่ แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องจนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ใหม่ ยังไม่เคยได้ยินคำขอโทษจากผู้บริหารพรรคหรือ ส.ส.ที่กระทำผิดเลยสักคน ถือเป็นเรื่องความรับผิดชอบทางการเมืองที่ทุกคนต้องมี แต่ความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องเร่งพิจารณากันต่อไป เพราะในอดีตมีบรรทัดฐานในเรื่องนี้อยู่แล้ว

“อนุดิษฐ์” วอนฟังเสียงค้านยุบ อนค.

ส่วนความเคลื่อนไหวล่ารายชื่อประชาชนตามแคมเปญคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ผ่านเว็บไซต์ www.change.org  นั้น น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับพรรคอนาคตใหม่ในฐานะของการเป็นฝ่ายค้านร่วมกัน เชื่อว่าพี่น้องประชาชนให้ความรักและชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของพรรคอนาคตใหม่อย่างเข้มแข็ง เห็นว่าการทำหน้าที่ของพรรคอนาคตใหม่ในฐานะฝ่ายค้าน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับพี่น้องประชาชน ดังนั้นหากมีการวินิจฉัยและจะทำให้พรรคอนาคตใหม่ไปต่อไม่ได้ จะถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียหาย พรรคร่วมฝ่ายค้านคงอ่อนกำลังลงไปไม่น้อย แต่ส่วนตัวเชื่อว่าการออกมาเรียกร้องครั้งนี้เป็นการสะท้อนเสียงของพี่น้องประชาชนที่เห็นตรงกันว่า อยากให้พรรคอนาคตใหม่ได้ไปต่อ เหมือนกับที่ตนและสมาชิกพรรคเพื่อไทยรู้สึก ต้องการเช่นเดียวกันจึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องรับฟังเสียงของประชาชน

“อ๋อย”ระบุมิติใหม่หลากกลุ่มร่วมต้าน

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่เคยผ่านการถูกยุบพรรคหลังการรัฐประหารในปี 2549 กล่าวถึงการเคลื่อนไหวคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ว่า การที่เกิดกระแสคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ผู้เข้าร่วมไม่ได้จำกัดอยู่ในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค แต่มีความหลากหลาย เนื้อหาสาระที่ถูกชูขึ้นเป็นเรื่องรัฐศาสตร์ ที่เป็นห่วงความขัดแย้งแตกหักในสังคม ต้องการให้รัฐสภาเป็นเวทีแก้ปัญหา ไม่ผลักไสผู้ต้องการมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตบ้านเมืองหันหลังให้การเมืองในระบบ ความห่วงใยนี้มีข้อเท็จจริงทั้งในอดีตและปัจจุบันรองรับอยู่ เพราะการยุบพรรคการเมืองถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับผู้ที่ยึดอำนาจรัฐประหารมาตลอด

รบ.ไม่ชอบธรรมขัดความรู้สึกชาวบ้าน

“ในอดีตประชาชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองที่ถูกยุบจะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม แต่ยังเชื่อว่าจะสามารถใช้เสียงประชาชนสนับสนุนพรรคการเมืองนั้นให้กลับมาบริหารประเทศได้เมื่อมีการเลือกตั้ง แต่การเมืองเวลานี้แตกต่าง เนื่องจากกติกาถูกเขียนไว้เพื่อผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ขณะที่รัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาประเทศ การที่รัฐบาลจะเข้มแข็งในสภาฯมากขึ้น ทั้งๆที่ขาดความชอบธรรมลงทุกที จึงขัดต่อความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ การเคลื่อนไหวของนักวิชาการ นักธุรกิจ ศิลปิน นักกิจกรรม ฯลฯ ในครั้งนี้จึงเป็นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของสังคมที่มีความหมาย ไม่ว่าใครจะอยู่ฝ่ายใดหรือไม่อยู่ฝ่ายใดๆเลยก็ตาม หากมีความห่วงใยต่อบ้านเมืองน่าจะรับฟังข้อเสนอด้วยเหตุด้วยผล และไม่มองข้ามคำตักเตือนที่มีพื้นฐานจากเจตนาที่ดีนี้”นาย จาตุรนต์กล่าว

“นิพิฏฐ์”ติงอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการออกแคมเปญรณรงค์ร่วมลงชื่อในเว็บไซต์ www.change.org คัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ 191 ล้านในวันที่ 21 ก.พ.ก่อนหน้าวันเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียง 3 วันว่าควรจะรอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญก่อน ขณะนี้ยังไม่มีคำวินิจฉัยอะไรออกมา คำวินิจฉัยยังเป็นไปได้ทั้งสองทางคือยกคำร้องหรือไม่ยกคำร้อง อย่าเพิ่งไปคาดเดา อย่าไปจัดชุมนุม อย่าไปประท้วงอะไรกันก่อน พอศาลวินิจฉัยแล้วสามารถทำความเห็นทางวิชาการคัดค้านไม่เห็นด้วยได้ ส่วนคำถามที่ว่าถ้ามีการยุบพรรคอนาคตใหม่รอบนี้ จะผลักให้การเมืองลงไปอยู่บนท้องถนนหรือไม่นั้น อยู่ที่เหตุผลของคำวินิจฉัย ถ้าศาลสามารถอธิบายเหตุผลให้คนเข้าใจได้ คงไม่สามารถนำการเมืองไปสู่ท้องถนนได้ ขอย้ำว่าอย่าเพิ่งไปคาดเดา

เตือนไม่เจ๋งจริงแจ้งเกิดจะเป็นแจ้งดับ

นายนิพิฏฐ์ กล่าวอีกว่า ไม่แน่ใจว่าระหว่างวันอภิปรายไม่ไว้วางใจกับวันที่ศาลจะตัดสินคดีของพรรคอนาคตใหม่ วันไหนมีการกำหนดขึ้นมาก่อนกัน แต่ตามปกติการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะถูกกำหนดด้วยระยะเวลาในสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร คือช่วงท้ายๆของสมัยประชุมอยู่แล้ว คิดว่าคนที่เป็นพรรคฝ่ายค้านทุกคนควรได้โชว์บทบาทการตรวจสอบรัฐบาลแทนประชาชน แต่ถ้าใช้เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่มีเหตุผล ไม่มีเนื้อหาสาระที่ดีจะกลายเป็นเวทีแจ้งดับ แต่ถ้าอภิปรายมีเนื้อหาสาระดีจะเป็นเวทีแจ้งเกิด

“เสรี” หยามกู้นายทุนเหมือนรู้ชะตา

นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.และประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กถึงคดียุบพรรคอนาคตใหม่ว่า ในเฮือกสุดท้ายเหมือนรู้ชะตาตัวเองว่าผลของศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินเช่นใด คือ การให้คู่ต่อสู้ตายตกไปตามกัน การที่พรรคการเมืองกู้เงินจากหัวหน้าพรรค ย่อมเป็นรายได้ของพรรคการเมือง แต่มิใช่รายได้ของพรรคการเมืองตามมาตรา 62 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง คนหัวหมอจะตีความว่าเมื่อกฎหมายไม่ห้ามไว้ สามารถนำมาใช้ในพรรคได้ โดยตีความว่าเงินกู้ไม่เป็นรายได้ของพรรค เป็นการตีความที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่ให้พรรคการเมืองมีรายได้ตามมาตรา 62 เท่านั้น หากเป็นรายได้นอกเหนือจากนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเป็นความผิด นี่คือหลักการควบคุมรายได้ของพรรค การเมือง มิฉะนั้นแล้ว หากเงินกู้ที่ได้มาโดยไม่อยู่ในมาตรา 62 ต่อไปทุกพรรคเพียงแต่ไปกู้เงินจากนายทุนเงินกู้มาใช้จ่าย จากนั้นนายทุนเงินกู้เมื่อได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญจะยกหนี้ให้ไม่ต้องใช้หนี้จะกลายเป็นการได้เงินมาใช้จ่ายในพรรคจำนวนมากได้อย่างไม่มีจำกัดและไม่เป็นความผิด ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ไม่ต้องการให้พรรคเป็นของนายทุน ไม่อาจทำให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชน

อ้างปมขัดแย้งดิ้นเฮือกสุดท้าย

นายเสรีกล่าวอีกว่า การต่อสู้ครั้งสุดท้ายจึงต่อสู้แบบเอาพรรคเข้าแลก โดยสร้างความขัดแย้งไปทั่ว ตั้งแต่โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในทุกเรื่องทุกประเด็นที่ตนเองเสียประโยชน์เพื่อจะเป็นข้ออ้างว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคนั้นเกิดจากการไปขัดแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่ศาลรัฐธรรมนูญมิได้ไปขัดแย้งด้วยเลย สร้างวาทกรรมว่ารัฐบาลมาจากการสืบทอดอำนาจให้สาธารณชนรู้สึกว่าที่จะถูกยุบเพราะไปขัดแย้งกับรัฐบาล สร้างวาทกรรมพาดพิง วุฒิสภาตลอดว่าเป็นผลพวงจากรัฐประหารและมาจากการสืบทอดอำนาจ ให้สาธารณชนรู้สึกว่าที่จะถูกยุบเพราะขัดแย้งกับวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งจาก คสช. ยิ่งใกล้วันตัดสิน สร้างม็อบจัดเวที สร้างกลุ่มให้ประชาชนออกมาสนับสนุน เรียกร้องหาความเป็นธรรม ทั้งๆที่ปัญหาทั้งหลายตนเองเป็นผู้ก่อขึ้นทั้งสิ้น เล่นการเมืองแบบไม่รับผิดชอบ ศาลทุกศาลรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ต้องตัดสินคดีความไปตามกฎหมาย ถูกเป็นถูกผิดเป็นผิด ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะกดดันศาล มิฉะนั้นจะกลายเป็นกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ในที่สุดจะตัดสินกันเอง ไม่เคารพกฎหมาย บ้านเมืองกลียุค

พท.เย้ยองครักษ์นายเป็นหมัน

อีกเรื่อง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมรับมือองครักษ์พิทักษ์นายกฯในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล ว่า การเตรียมจัดชุดองครักษ์พิทักษ์นายกฯ น่าจะไม่เกิดประโยชน์อะไร จากที่ตนมีโอกาสรับทราบเนื้อหาและแนวทางของผู้อภิปรายทุกพรรค เชื่อว่าผู้อภิปรายทุกคนจะอภิปรายในเนื้อหาของญัตติไม่ไว้วางใจที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น จึงไม่เปิดโอกาสให้องครักษ์ทั้งหลายลุกขึ้นประท้วงจึงน่าจะเป็นหมัน องครักษ์ทั้งหลายที่ลุกขึ้นประท้วง โดยไม่ยึดข้อบังคับ ต้องการเพียงเพื่อจะปั่นป่วนการอภิปรายเอาใจนายกฯ ขอให้สำนึกไว้ด้วยว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ใช่การทำงานเพื่อประชาชนตามที่ได้เลือกเข้าสภาฯ แต่เป็นการรับใช้นายเท่านั้น สุดท้ายจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาประชาชน เมื่อถามว่ารัฐบาลตั้งท่าจะประท้วงหากฝ่ายค้านนำเรื่องเก่ามาอภิปราย น.อ.อนุดิษฐ์ตอบว่า ชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่าการอภิปรายไม่ได้ ห้ามเนื้อหาที่เชื่อมโยงพฤติกรรมในอดีต สอดคล้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หาก องครักษ์ทั้งหลายจะกรุณาศึกษาข้อกฎหมายและข้อบังคับ จะพบว่าถ้าการอภิปรายอยู่ในเนื้อหาของญัตติและเชื่อมโยงเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าทำไมนายกฯและพวกจึงต้องถูกอภิปรายสามารถอภิปรายได้แน่นอน

ขู่ ส.ส.งูเห่าเตรียมถูก ปชช.พิพากษา

เมื่อถามว่าในการอภิปรายครั้งนี้มีกระแสข่าวพรรครัฐบาลเตรียมใช้งูเห่าช่วยนายกฯ น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ได้ยินเรื่องกระแสงูเห่ามาตั้งแต่เริ่มต้นเปิดสภาฯ บ้างบอกว่ามี 30 ตัว บ้างก็ว่ามี 20 ตัว แต่ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นแค่การปล่อยข่าวหรือเป็นเพียงเสียงร่ำลือเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงจะปรากฏงูเห่าเพียงไม่กี่คนที่ประชาชนรับรู้ในพฤติกรรมอยู่แล้ว ไม่ขอไปก้าวล่วง ใครอยู่พรรคไหน และทำผิดอะไรต้องได้รับโทษตามข้อบังคับของแต่ละพรรค แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดคือพี่น้องประชาชนจะตัดสิน ส.ส.เหล่านี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

จวกทีมป่วนตีปี๊บวางบิลเมกมันนี่

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการจัดองครักษ์พิทักษ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์-โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่า การจัดทีมคอยประท้วงผู้อภิปรายของฝ่ายค้านเป็นแท็กติกเดียวที่ฝ่ายรัฐบาลมี และจะใช้ในการยับยั้ง ทำลายจังหวะการอภิปรายไม่ไว้วางใจของ ส.ส.ฝ่ายค้าน ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน หวังวางบิลสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ออกแอ็กชันเตรียมวางงานกันเต็มที่ ประชาชนเกิดคำถาม สุจริตคือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง ออกอาการลนลานกันขนาดนี้ เพราะไม่สุจริต มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่ องครักษ์ที่จะคอยลุกขึ้นประท้วงไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ เพราะประชาชนดูอยู่ อย่าฉุดการเมืองย้อนยุค น้ำเน่า เคารพประชาชน ฟังเสียงประชาชนให้มาก ข้อมูลที่ไหลมายังฝ่ายค้านไม่ขาดสายมาจากทั่วทุกสารทิศ มั่นใจว่าขนาดรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายยังจะไม่สามารถตอบได้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่จะคอยลุกขึ้นประท้วงจะเอาอะไรมาประท้วง ความกลัวทำให้เสื่อม ถ้ามั่นใจว่าโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่มีอะไรต้องกลัว ดังนั้น หยุดได้แล้วองครักษ์พิทักษ์ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะนอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ยังทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย

“ยุทธพงศ์” ออกแขกแฉค่าโง่ศูนย์สิริกิติ์

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย แถลงว่ากรณีค่าโง่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อภิมหาสัญญาเช่ายาวนานสูงสุดของประเทศไทย 50 ปี นั้น เจ้าสัวรายใหญ่คนหนึ่งมีแผนดำเนินธุรกิจ “NEW CBD BANGKOK” ลงทุนไปกว่า 1.5 แสนล้านบาท เพื่อทำธุรกิจ MICE ที่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการจัดประชุมบริษัทข้ามชาติ การท่องเที่ยว เพื่อเป็นรางวัลซึ่งเจ้าสัวจะต้องเอาพื้นที่ศูนย์ประชุมนี้ให้ได้

สับ รบ.ต่อสัญญา 50 ปีประเคนเจ้าสัว

“ทั้งนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ต่อสัญญาเช่าให้กับบริษัท NCC ของเจ้าสัวถึง 50 ปี บริษัทนี้ทำผิดสัญญาเช่าในการสร้างโรงแรมมาตั้งแต่แรกโดยวิธีการเช่าสุดพิสดาร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหมไม่ได้ระมัดระวัง ไม่รอบคอบ ไม่เปิดให้มีการประมูลแข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่ฟังใครทั้งนั้น จะให้เจ้าสัวท่าเดียว เท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์เข้าไปพัวพันกับเจ้าสัวใช่หรือไม่ เพราะสัญญาใหม่ระบุว่าจะสร้างโรงแรมอีก ขณะที่ในสัญญาเก่าระบุว่าจะสร้างโรงแรมก็ยังไม่ได้สร้าง จะไม่ให้เรียกค่าโง่ได้อย่างไร ดังนั้นเชื่อมั่นว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะทำให้ยกเลิกอภิมหาสัญญาเช่านี้ได้” นายยุทธพงศ์กล่าว

ประชาชาติพุ่งเป้าขยี้แก้ไฟใต้เหลว

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า พรรคประชาชาติจะดำเนินการอภิปรายตามมติของ 6 พรรคร่วมฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม และรัฐมนตรีอื่นอีกรวม 6 คน โดยพรรคได้รับมอบหมายให้อภิปรายเกี่ยวกับพฤติกรรมและการกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ล้มเหลวมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จนมาถึงรัฐบาลชุดนี้ที่ไม่ได้ดีขึ้นหนำซ้ำการแก้ปัญหายังล้มเหลวกว่าเดิม แต่รายละเอียดอยากให้รอฟังในการอภิปรายจากผู้อภิปรายของพรรคที่มี 2-3 คน ยืนยันเรื่องที่พรรคอภิปรายเรามีข้อมูลพร้อม ไม่ได้อภิปรายตามกระแสหรือเป็นฤดูกาลแต่มีข้อมูลที่จะชี้ให้ประชาชนเห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในด้านต่างๆ

“ราเมศ” ยันพาดพิง ปชป.พร้อมสวน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ประชาชนรอฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเป็นกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลของฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารในสภาฯ เมื่อถึงเวลาการอภิปรายจะมีข้อมูลทั้งจากฝ่ายค้านและรัฐบาลที่หยิบยกมาอภิปรายกันในสภาฯ ท้ายที่สุดคนที่ตัดสินได้ดีที่สุดคือประชาชน ตนเชื่อในระบบการตรวจสอบ ให้กำลังใจทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอภิปรายกันให้เต็มที่ ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากข้อมูล ส่วนรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้กังวลใจหากถูกพาดพิงและเกี่ยวโยงมาถึงเรื่องการทำงานใช้สิทธิชี้แจงได้อยู่แล้ว สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นคือการต่อสู้กันในสภาฯด้วยข้อมูล การตรวจสอบที่ตรงประเด็น นำความจริงมาสะท้อนให้ได้มากที่สุด

อัดไม่ไว้วางใจกับยุบพรรคคนละเรื่อง

นายราเมศกล่าวด้วยว่า ส่วนประเด็นเรื่องยุบพรรคการเมืองให้รอฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดีที่สุด เป็นคนละประเด็นกันกับเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากนำมาเป็นประเด็นเกี่ยวโยงกัน แสดงว่าเรานำความถูกผิดในกระบวนการตรวจสอบโดยอำนาจตุลาการ มาโยงกับกระบวนการตรวจสอบในรัฐสภา เป็นคนละเรื่องกัน ถ้ารัฐบาลทำผิดอภิปรายถ่วงดุลกันในสภาฯ ถ้าพรรคการเมืองทำผิดกฎหมายถ่วงดุลกันโดยอำนาจตุลาการ

ย้อนเป็นนัก ปชต.ต้องเคารพ ก.ม.

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเป็นนักประชาธิปไตย จำเป็นอย่างยิ่งต้องเคารพกฎหมาย พรรคอนาคตใหม่ควรต่อสู้แก้ต่างตามสิทธิที่มีเหมาะสมกว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรค 3 วันก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง ถ้าจำกันได้ศาลนัดอ่านคำวินิจฉัยกรณีนี้ก่อนที่สภาฯจะกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจเสียอีก ส่วนที่แกนนำพรรคอนาคตใหม่ระบุว่าหากกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง จะไปอภิปรายกันนอกสภาฯ ที่ผ่านมาพรรคอนาคตใหม่พูดเสมอว่ายังมี ส.ส.ที่พร้อมร่วมอุดมการณ์กับพรรคอยู่ ควรใช้สภาฯเป็นเวทีแสดงความคิดเห็น ไม่อยากให้ไปใช้กลไกอื่นนอกสภา ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะวุ่นวาย งบฯปี 63 ผ่านแล้ว เศรษฐกิจกำลังค่อยๆดีขึ้น ความสงบเป็นสิ่งจำเป็นมาก

“สนธิรัตน์” ยันไร้สัญญาณปรับ ครม.

เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการจัดสัมมนาพรรคพลังประชารัฐวันที่ 22-23 ก.พ. ที่ จ.ชลบุรีเพื่อเตรียมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า การสัมมนาครั้งนี้ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ยังไม่ได้ยืนยันว่าจะไปร่วม แต่ได้เรียนเชิญผู้ถูกอภิปรายทั้ง 6 ท่าน และทีมงานไปแล้วเพื่อประสานเรื่องข้อมูล เมื่อถามว่า มีกระแสว่าภายหลังการอภิปรายจะมีการปรับ ครม.นายสนธิรัตน์ตอบว่า กระแสปรับ ครม.เป็นปกติของการเมือง ทุกช่วงมีโอกาสปรับทั้งสิ้นไม่ใช่เฉพาะช่วงอภิปรายเท่านั้น เมื่อถามว่า มีกระแสว่ามีชื่อนายสนธิรัตน์ จะถูกปรับด้วย นายสนธิรัตน์ตอบว่า ชื่อมีทุกคน เป็นเรื่องปกติทางการเมือง แต่ยังไม่เห็นนายกฯพูดอะไรในเรื่องนี้

ลิ่วล้อหยันญัตติตามฤดูกาลน้ำท่วมทุ่ง

นายจำลอง ครุฑขุนทด ประธานคณะทำงานผู้สนับสนุนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคพลังประชารัฐ แถลงถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า พรรคฝ่ายค้านพยายามโจมตีและเล่นงานพรรคพลังประชารัฐอย่างเดียว จึงอยากเข้ามาช่วยพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้การอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และอยากให้อภิปรายมีเนื้อหาสาระ เป็นประโยชน์แก่ประชาชน การอภิปรายครั้งนี้เป็นญัตติตามฤดูกาล ที่กฎหมายอนุญาตให้เปิดประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลดูเหมือนจะรุนแรง แต่เนื้อหาดูเหมือนน้ำท่วมทุ่งมากกว่า ไม่ได้กล่าวถึงการทำงานในปัจจุบัน แต่กล่าวถึงการปฏิวัติรัฐประหารมาก่อนหน้านี้ เราจะเก็งข้อสอบล่วงหน้าให้กับรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดข้อมูลที่ดีที่สุด ส่วนในสภาฯประสานงานเพื่อให้การประชุมเรียบร้อยและยินดีจะประสานกับฝ่ายค้าน รวมถึงประธานสภาฯเพื่อให้การอภิปรายครั้งนี้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ทีมผู้สนับสนุน 30 คน จะทำการบ้านและมอนิเตอร์การประชุมตลอดเวลา ทีมงานจะเข้าเวรสลับสับเปลี่ยนมาดูการอภิปราย ตั้งแต่เริ่มอภิปรายกระทั่งสิ้นสุดการอภิปราย เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้ตลอดเวลา

“สมศักดิ์” ถ่อมตัว ลต.ซ่อมยังสูสี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรมและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ได้ลงพื้นที่ช่วยนายเพชรภูมิ อาภรรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.กำแพงเพชรเขต 2 หาเสียง พร้อมกับ ส.ส.ในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงกว่า 20 คน อาทิ นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ ส.ส.สุโขทัย นายวีระกร คำประกอบ นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ นายปริญญา ฤกษ์หร่าย ส.ส.กำแพงเพชร และนายอนุชา น้อยวงศ์ ส.ส.พิษณุโลก ถึงตอนนี้กระแสยังสูสีคู่แข่งพรรคเพื่อไทย ระดมกำลังสำคัญของพรรคลงมาช่วยหาเสียงเช่นเดียวกัน ได้เจอกับนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังทักทายกัน เราให้เกียรติกัน ไม่มีปัญหาอะไร เลือกตั้งซ่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เขตนี้จะเป็นเขตเดิมของพรรค เราพยายามเน้นไปที่ตัวผู้สมัครว่ามีคุณสมบัติที่ดี จะช่วยพัฒนาพื้นที่ได้อย่างไรบ้าง ส่วนเรื่องเศรษฐกิจเมื่องบฯปี 63 ประกาศใช้โครงการต่างๆจะขับเคลื่อนได้น่าจะดีขึ้น ทุกอย่างจะเริ่มลงตัวในอีกไม่นาน

ปัดไม่เคยอาศัยอำนาจรัฐทำคะแนน

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยกังวลว่าพรรคพลังประชารัฐ ใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์หาเสียง นายสมศักดิ์ตอบว่า “ผมยืนยันว่าไม่มีการใช้อำนาจรัฐหรือข้าราชการมาช่วยหาเสียง ขนาดตอนแนะนำตัวกับชาวบ้าน ยังไม่บอกว่าตัวเองเป็นรัฐมนตรีเลย บอกเพียงแต่ว่าเป็นแกนนำของพรรค ส่วนใหญ่ชาวบ้านจำเราได้ เพราะ จ.สุโขทัย กับกำแพงเพชรติดกัน ผมมีประสบการณ์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมมาหลายครั้ง รู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ ทุกอย่างต้องทำตามกติกากฎหมาย เราต้องแฟร์เพลย์มีน้ำใจนักกีฬา ไม่ใช่เอาความได้เปรียบมาใช้แบบไม่ถูกวิธี คิดว่าการหาเสียงควรจะชูนโยบายต่างๆที่จะทำ และเป็นประโยชน์ไม่ควรโจมตีหรือดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม”

มั่นใจงบฯ 63 ดัน ศก.ไตรมาส 2 ฟื้น

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้วจะส่งร่างกฎหมายมายังรัฐบาลเพื่อตรวจสอบ ก่อนนำความขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้ ยืนยันจะใช้จ่ายงบฯอย่างคุ้มค่ารอบคอบ ให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด เป็นที่ทราบกันดีว่าเราได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากหลายปัจจัยตั้งแต่ต้นปี ทั้งผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ภัยแล้ง โรคระบาด บวกกับการใช้จ่ายงบฯที่ล่าช้า เมื่องบฯปี 2563 ประกาศใช้การเบิกจ่ายงบฯจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดำเนินโครงการต่างๆได้เต็มที่ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้อย่างแน่นอน

เล็งเป้าโกยเงิน นทท.จีน–อินเดีย

น.ส.ไตรศุลีกล่าวอีกว่า สำหรับด้านการท่องเที่ยวถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การ-ท่องเที่ยวและกีฬา ได้เตรียมแผนรับมือสถานการณ์นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแล้ว ทั้งนี้ เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสคลายตัวลงแล้ว ขอให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวช่วยกันเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีนให้กลับมาเที่ยวประเทศไทย ขณะที่กระทรวงจะนำมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (ฟรีวีซ่า) สำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย 2 ตลาดใหญ่ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง พร้อมกับประสานกระทรวงคมนาคมเพื่อเปิดบริการเช่าเครื่องบินเหมาลำให้มากที่สุด โดยหวังว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมาคึกคักอีกในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้

ส.ว.อู้ฟู่มีงบฯ บิน ตปท.กว่า 67 ล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า ในการประชุมคณะ กมธ.วิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ได้มีมติกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางเกี่ยวกับกรณีการเดินทางไปราชการต่างประเทศของ คณะ กมธ.วิสามัญ ประจำวุฒิสภา 26 คณะ และคณะ กมธ.ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ มีรายละเอียดที่น่าสนใจ อาทิ การเดินทางไปต่างประเทศ ต้องมีหนังสือเชิญอย่างเป็นทางการจากต่างประเทศ จำนวนผู้เดินทางจะต้องให้เหมาะสม ส่วนวันที่เดินทางควรอยู่ในช่วงปิดสมัยประชุม ไม่ให้กระทบต่อองค์ประชุมวุฒิสภา ส่วนแนวทางการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 เรื่องรายการค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศของคณะ กมธ.สามัญประจำวุฒิสภานั้น มีงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร จำนวน 67,500,000 บาท โดยจัดสรรให้สมาชิก ส.ว.ที่ดำรงตำแหน่ง กมธ.เป็นรายบุคคลจำนวน 248 คนคนละ 270,000 บาท ทั้งนี้ ส.ว.สามารถเดินทางไปราชการต่างประเทศ กับคณะ กมธ.ได้เพียงหนึ่งคณะ

“วันชัย” โต้แบ่งเค้กแจกเงินกันเอง

นายวันชัย สอนศิริ เลขานุการวิปวุฒิสภา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ประชุมวิปวุฒิสภามีความเห็นร่วมกัน เกี่ยวกับการจัดสรรงบฯ เดินทางไปราชการต่างประเทศ ของคณะ กมธ.สามัญประจำวุฒิสภา ตามร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 63 เป็นเงิน 67,500,000 บาท เรื่องการศึกษา ดูงานของคณะ กมธ.วุฒิสภา ทั้ง 26 คณะนั้น ได้คุยกัน อย่างรอบคอบ ถึงขั้นเคยมีการเสนอว่าควรให้งดเดินทาง ไปต่างประเทศ แต่เนื่องจากมีคณะ กมธ.บางคณะที่มีข้อตกลงและความร่วมมือด้านต่างประเทศเอาไว้ ทำให้ยังจำเป็นต้องไปต่างประเทศ วิปวุฒิสภามีมาตรการ กำชับเรื่องการใช้งบฯ ส่วนนี้ 3 ประการ 1.ต้องเดินทาง ไปศึกษาดูงานอย่างแท้จริง 2.ต้องประหยัดและ 3.ห้ามเดินทางไปในลักษณะของการท่องเที่ยวอย่างเด็ดขาด รวมถึงได้วางมาตรการเข้มงวด คำนึงถึงความ รู้สึกของประชาชนให้มากที่สุด เดินทางกลับมาแล้วจะต้องทำรายงาน และแถลงต่อวุฒิสภาและประชาชนด้วย การจัดสรรงบฯดังกล่าว ปัจจุบันเป็นการให้งบฯ เป็นรายหัว ไม่ใช่จัดสรรงบฯ เป็นรายคณะ กมธ.แบบในอดีต เนื่องจากปัจจุบันคณะ กมธ.แต่ละคณะมีจำนวน ส.ว.เข้าไปเป็น กมธ.ไม่เท่ากัน เพื่อให้เป็นธรรม จึงจัดสรรงบฯ เป็นรายหัว หัวละ 2.7 แสนบาทภายใน ปีงบประมาณ กำหนดให้ ส.ว.เดินทางไปกับคณะ กมธ. ได้เพียงคณะเดียวเท่านั้น ต้องไม่กระทบต่อการทำงาน ของวุฒิสภา ขอยืนยันว่าไม่ได้เอาเงินมาแจกกันเอง

โพลชี้คนเมินร่วมม็อบลงถนน

วันเดียวกัน นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจ “ท่านจะไปชุมนุมประท้วงทางการเมืองหรือไม่” จาก 1,255 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 12-13 ก.พ.พบว่าร้อยละ91.87 ระบุไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมประท้วงทางการเมือง ร้อยละ 8.13 เคยเข้าร่วม หากมีนักการเมือง/พรรคการเมือง/กลุ่มการเมืองรณรงค์ให้ชุมนุมประท้วงบนท้องถนนร้อยละ 82.87 ระบุจะไม่ไป ร้อยละ14.02 ระบุไม่แน่ใจต้องดูรายละเอียด และร้อยละ 3.11 ระบุจะไปเพราะมีอุดมการณ์ที่เหมือนกันเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ต้องการ อยากให้ประเทศพัฒนามากกว่านี้ และไม่ชอบรัฐบาลชุดปัจจุบัน ส่วนแนวคิดของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ จะเดินสายอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 6 คน

นอกสภาฯ หากพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสินยุบพรรคร้อยละ 31.95 ระบุไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 25.18 ระบุไม่ตอบ/ไม่สนใจ ร้อยละ 20.00 ระบุเห็นด้วยมาก เพราะพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และเป็นสิทธิ ร้อยละ 11.71 ระบุค่อนข้างเห็นด้วย เพราะเป็นการแสดงออกทางการเมืองทำให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นทั่วถึง ร้อยละ 11.16ระบุไม่ค่อยเห็นด้วย

ฝ่าย ครม.ชนะในสภาฯแบเบอร์

ด้านสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจ คอการเมืองกับการซักฟอกรัฐบาล กรณีศึกษา 1,296 ตัวอย่าง วันที่ 10-15 ก.พ.พบว่าร้อยละ 56.2 คิดว่าฝ่ายค้านไม่มีดาวเด่นในสภาฯในศึกซักฟอกรัฐบาล ขณะที่ร้อยละ 43.8 คิดว่ามี เช่น นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นต้น นอกจากนี้ร้อยละ 75 คาดว่ารัฐบาลชนะอยู่ดี ร้อยละ 25 คิดว่าฝ่ายค้านชนะทำให้เปลี่ยนรัฐบาลได้แน่ และร้อยละ 50.2 คาดว่าผลจากการซักฟอกจะไม่ได้รับประโยชน์ในการแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน โดยร้อยละ 49.8 คาดว่าจะได้รับประโยชน์

รัฐบาลอืดไร้ผลงานทุบเครดิต รบ.วูบ

ขณะที่สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจ “ความคิดเห็นประชาชนที่มีต่อรัฐบาล” จาก 1,222 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 12-15 ก.พ.พบว่า เหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆทางการเมือง ณวันนี้ที่ประชาชนสนใจ ร้อยละ 39.04 ระบุการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 6 รัฐมนตรี ร้อยละ 29.59 ระบุการบริหารงานของรัฐบาล ร้อยละ 25.47 ระบุการป้องกันและแก้ปัญหาสังคม ส่วนเหตุการณ์หรือเรื่องราวทางการเมือง ณ วันนี้ที่ประชาชนเบื่อหน่าย ร้อยละ 41.77 ระบุพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักการเมือง ร้อยละ 38.58 ระบุทำงานล่าช้า ไม่มีผลงาน ร้อยละ21.72 ระบุความขัดแย้งระหว่างฝ่ายค้าน/ฝ่ายรัฐบาล ร้อยละ 18.25 ระบุใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้อง สําหรับผลงานหรือเรื่องราวที่จะช่วยเสริมความแกร่งให้กับรัฐบาล ร้อยละ 33.59 ระบุต้องแก้ปัญหาให้เร็ว สร้างผลงาน เช่น ฝุ่น PM 2.5 โควิด-19 ร้อยละ28.17 ระบุกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ร้อยละ 24.55ระบุบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล เมื่อถามถึงผลงานหรือเรื่องราวที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของรัฐบาลร้อยละ 43.18 ระบุแก้ปัญหาล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เห็นผลงานเป็นรูปธรรม ร้อยละ 34.05 ระบุความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 20.19 ระบุการบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0