โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

รู้เขารู้เรา! ล้วงลึกข้อมูล "จีน" ก่อนดวลแข้ง "ช้างศึก" 16 ทีมสุดท้าย "เอเชียน คัพ"

Manager Online

อัพเดต 17 ม.ค. 2562 เวลา 07.19 น. • เผยแพร่ 17 ม.ค. 2562 เวลา 07.19 น. • MGR Online

หลังจากทราบผลของทีมในกลุ่ม ซี ปรากฎว่า เกาหลีใต้ เอาชนะ จีน ไปแบบสบายๆ 2-0 ทำให้ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย ที่จบด้วยอันดับ 2 ของกลุ่ม เอ จะโคจรมาพบกับทีมจากแดนมังกร อันดับ 2 ของกลุ่ม ซี ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึกเอเชียน คัพ 2019

วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับขุนพล "มังกรแดง" ทีมชาติจีน ภายใต้การคุมทีมของบรมกุนซือมากประสบการณ์ดีกรีแชมป์โลก อย่าง มาร์เซลโล่ ลิปปี้ อดีตเทรนเนอร์ที่เคยพาอิตาลีคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ 2006 มาแล้ว

- ค่าเฉลี่ยอายุค่อนข้างเยอะ

ทีมชาติจีนชุดนี้ ถือเป็นทีมที่มีอายุเยอะพอสมควรเมื่อมองจากค่าเฉลี่ยของพวกเขาอยู่ที่ 29 ปี ส่วนทีมชาติไทย อยู่ที่ 27 ปี อย่างไรก็ตามแม้จะแข้งหลายๆคนจะมีประสบการณ์สูงแต่มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่เคยไปค้าแข้งยังต่างแดน อย่าง เจิ้ง จื่อ มิดฟิลด์กัปตันทีมในวัยเกือบ 39 ปี ที่เคยเล่นกับทีมในอังกฤษ อย่าง ชาร์ลตัน แอธเลติก และในสก็อตแลนด์ กับ เซลติก หรือ เฮา จุนหมิน กองกลางตัวเก่งที่เคยไปเล่นกับ ชาลเก้04 ในเยอรมนี โดยขุนพลจากแดนมังกรทำผลงานในรอบแบ่งกลุ่ม เอเชียน คัพ 2019 เกมแรกเฉือนชนะ คีร์กีซสถาน แบบเฉียดฉิว 2-1, เอาชนะ ฟิลิปปินส์ แบบสบายๆ 3-0 และล่าสุดพ่าย เกาหลีใต้ 0-2

- ระบบการเล่นที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้มีดีแค่ "คาเตนัชโช่"

ภายใต้การคุมทีมของยอดกุนซือ อย่าง มาร์เซลโล่ ลิปปี้ เขาประสบความสำเร็จมาอย่างมากมายโดยเฉพาะการพาทีมชาติอิตาลี คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 มาครองอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แผนการเล่นระบบปราการหลัง 3 ตัว หรือที่เรียกกันว่า "คาเตนัชโช่" ตามสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ ถึงแม้การมากุมบังเหียนทีมในแดนมังกรเขาจะมีการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นอยู่บ้างให้เข้ากับสไตล์ของฟุตบอลในแถบเอเชีย ไม่ได้ดึงดันที่จะใช้แต่ปราการหลัง 3 ตัว แต่เมื่อขึ้นชื่อว่า "ลิปปี้" แล้ว แน่นอนว่าเกมรับคือ "จุดแข็ง" ของทีมชาติจีนชุดนี้ อย่างไรก็ตามในเกมที่เจอกับทีมชาติไทย เราอาจจะได้เห็นทีมชาติจีนปรับเปลี่ยนระบบการเล่น 2 รูปแบบในเกมเดียวกันอย่างในนัดก่อนๆที่ผ่านมา อย่างในเกมแรกที่เอาชนะ คีร์กีซสถาน ครึ่งเวลาแรกพวกเขาลงมาในระบบ 5-4-1 แต่ครึ่งหลังเปลี่ยนมายืนกันเป็น 4-3-3 หรือในเกมที่สองที่เอาชนะฟิลิปปินส์ ครึ่งแรกจีนลงมาในรูปแบบ 4-4-2 แต่ครึ่งหลังเปลี่ยนมาใช้ระบบ 4-3-3 และพอเล่นไปสักพักเปลี่ยนมายืนกันเป็น 3-5-2 เพราะฉะนั้นนักเตะทีมชาติไทยอาจมีสับสนในระบบการเล่นของอยู่ไม่ใช่น้อย

- เก็บตัวหลักไว้หลายตัวในเกมเจอเกาหลีใต้?

การที่ "โค้ชโต่ย" ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย บุกไปชมเกมระหว่าง เกาหลีใต้ เอาชนะ จีน 2-0 ที่เมืองอาบูดาบี อาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่หารู้ไม่ว่าในเกมดังกล่าว "ลิปปี้" ตัดสินใจดร็อปผู้เล่นตัวหลักเอาไว้หลายตำแหน่ง อย่างเช่น เกา หลิน ดาวยิงตัวเก่ง, หลิว หยาง แบ็คซ้าย, เฮา จุนหมิน มิดฟิลด์ตัวเก่ง, อู๋ ซี กองกลางจอมขยัน รวมไปถึง เฟิง เสี่ยวถิง ปราการหลังตัวหลัก ถูกพักไว้บนม้านั่งสำรองทั้งนั้น รวมไปถึง อู๋ เหล่ย ศูนย์หน้าหมายเลขหนึ่งของทีม ณ เวลานี้ ที่มีอาการบาดเจ็บติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ ก่อนที่จะลงมายิงฟิลิปปินส์ 2 ประตู จนได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง และยังไม่แน่ว่าจะหายทันลงเจอกับทีมชาติไทยหรือไม่

- จุดอ่อน

แม้พวกเขาจะมีจุดแข็งอยู่ที่สภาพร่างกายและรูปร่างของนักเตะที่อาจจะดูแข็งแรงและแข็งแกร่งกว่าทีมช้างศึก โดยเฉพาะการโจมตีในลูกกลางอากาศที่เสมือนเป็นลูกทีเด็ด แต่พวกเขาก็มีจุดอ่อนเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในแผงหลัง อย่าง ซือ เคอ ที่ค้าแข้งอยู่กับ เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี อาจจะดูไม่ค่อยแข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งเจ้าตัวคือหนึ่งในผู้เล่นที่เคยพ่ายแพ้ต่อ ไทย 0-2 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เอเชียนเกมส์ 2014 ที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ รวมไปถึงแบ็คขวา อย่าง จาง หลินเผิง จากสโมสรกว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ ที่ฟอร์มการเล่นตกลงไปพอสมควร ไม่ดุดันเหมือนก่อนเท่าไหร่ อาจกลายเป็นบ่อให้ทีมชาติไทยพอจะเจาะเพื่อทำประตูได้ นอกจากนั้นที่สำคัญ "จีน" ชุดนี้ ดูเหมือนว่าจะแพ้การเพรสซิ่งสูงจากคู่แข่ง เวลาโดนบีบและประกบตัวอย่างรวดเร็วมักจะจ่ายบอลกันผิดพลาดแบบง่ายๆ นอกจากนี้เกมบุกของทีมจากแดนมังกรที่อาจจะดูว่าเฉียบคมจากฝีเท้าของ อู๋ เหล่ย ดาวยิงตัวเก่ง แต่หากมองลึกไปกว่านั้นพวกเขามักจะมีปัญหาในการต่อบอลเข้าไปทำประตูแบบโอเพ่นเพลย์ และมักจะได้ประตูจากลูกเซ็ตพีซเสียเป็นส่วนใหญ่

- นักเตะที่ต้องระวังเป็นพิเศษของทีมชาติจีน

แน่นอนว่า "อู๋ เหล่ย" คือคนที่อันตรายที่สุดของทีมชาติจีน ณ เวลานี้่ ถ้าหากเขาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ก็ยากที่จะหยุดกองหน้าตัวเก่งรายนี้ เพราะรางวัลดาวซัลโวไชนีส ซูเปอร์ลีก ฤดูกาลล่าสุดของเจ้าตัวไม่ได้มาเพราะโชคช่วย รวมไปถึง "เฮา จุนหมิน" มิดฟิลด์สารพัดประโยชน์ที่สามารถขยับไปเล่นด้านข้างได้ดี มีประสบการณ์ไปค้าแข้งในต่างแดนกับ ชาลเก้04 ในบุนเดสลีกา เยอรมนี มาแล้ว อีกรายเป็นแบ็คซ้ายนามว่า "หลิว หยาง" แม้จะเพิ่งอายุ 23 ปี แต่เซนต์ฟุตบอลของเขายอดเยี่ยมมากๆ มีจุดเด่นอยู่ที่การเติมเกมบุกที่อันตรายและลงไปตั้งรับได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญอีกหนึ่งดาวยิงอย่าง "เกา หลิน" แม้ช่วงหลังฟอร์มจะดร็อปลงไปเยอะมากๆ แต่ประสบการณ์ของเขาแข้ง "ช้างศึก" ก็ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด

สถิติการพบกันของทั้งสองทีม ระหว่าง ไทย กับ จีน ปรากฎว่าเคยดวลแข้งกันมาทั้งหมด 25 นัด นับตั้งแต่ปี 1974 เป็น จีน ที่เหนือกว่าเยอะ เก็บชัยไปได้ถึง 17 นัด เสมอ 3 นัด ไทย ชนะได้เพียง 5 นัด ส่วนการเจอกัน 5 ครั้งหลังสุดค่อนข้างสูสี แบ่งกันเก็บชัยได้ทีมละ 2 นัด เสมอกัน 1 นัด ล่าสุดดวลกันในเกมอุ่นเครื่องที่ราชมังคลากีฬาสถาน เป็น จีน ที่บุกชนะไทยถึงถิ่น 2-0 จากการเหมาคนเดียวสองประตูของ อู๋ เหล่ย

ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือข้อมูลคร่าวๆของคู่แข่งช้างศึก อย่างทีมชาติจีน ที่จะต้องมาดวลแข้งกันในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึกเอเชียน คัพ 2019 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562 เวลา 21.00น. ตามเวลาไทย ช่อง 7 เอชดี และฟ็อกซ์สปอร์ต ถ่ายทอดสดให้ชม

ขอบคุณข้อมูลจากทีมงานเพจ "เล่าเรื่องบอลจีน - Chinese Super League"

by RNP

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0