โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

รู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตอนระยะสุดท้าย นอกจากจะรักษายาก ยังแพงอีกด้วย

อีจัน

อัพเดต 23 ต.ค. 2561 เวลา 03.22 น. • เผยแพร่ 22 ต.ค. 2561 เวลา 14.19 น. • อีจัน
รู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตอนระยะสุดท้าย นอกจากจะรักษายาก ยังแพงอีกด้วย
อีจัน คุยกับเจ้าของไข้ผู้ป่วยโรคมะ&#364…

อีจัน คุยกับเจ้าของไข้ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย  ประสบการณ์ที่หลายคนไม่ทราบว่า จะเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ มาลองดูประสบการณ์จากเธอคนนี้

โรคมะเร็ง คือกระแสที่กำลังมาในตอนนี้ เพราะ นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล นักวิจัยพัฒนาแอนตี้บอดี้คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ ค้นพบยาต้านมะเร็งเองได้แล้ว

ซึ่งคาดหวังว่า ค่ารักษาจะถูกลงจากหลักแสน เหลือเพียงหลักหมื่นเท่านั้น ทีมอีจันมีโอกาสได้คุยกับเจ้าของไข้ซึ่งเป็นน้องสะใภ้ผู้ป่วยมะเร็ง เขาเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้เจอระหว่างการรักษา เพราะกว่าจะรักษาให้หายได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย และไม่ใช่ว่า หากรักษาจนหายแล้ว จะไม่กลับมาเป็นอีกครั้ง
นางพิชาพัทธ์ ศิลาสมุทร (ผู้หญิงในภาพข้างต้น)  เป็นน้องสะใภ้และเจ้าของไข้ผู้ป่วยมะเร็ง เล่าว่า พี่สาวเธอ(ไม่ประสงค์ออกนาม) อายุ 70 กว่าปีแล้ว อาการเริ่มมาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2560 โดยเริ่มมีอาการปวดหลัง จากนั้นเธอจึงพาพี่สาวไปรักษาที่โรงพยาบาลแถวชลบุรีใกล้บ้านเธอถึง 3 แห่ง ผลวินิจฉัยออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่สาวของเธอป่วยเป็นโรคกระดูกทับเส้น จากนั้นจึงเข้ารักษาเป็นเวลากว่า 3 เดือน โดยการยืดกระดูกจากเรเซอร์ 15 ครั้ง อาทิตย์ละครั้ง หมายความว่าต้องทำเรเซอร์ทั้งหมด 15 อาทิตย์ นอกจากนี้ยังมีการทำ MRI เอ็กซเรย์ และทุกอย่างตามขั้นตอนของการรักษา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2 แสนบาท เพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชน

แต่รักษามากว่า 3 เดือน อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย ซ้ำร้ายยังเริ่มหนักกว่าเดิมอีก เพราะนั่งไม่ได้ หากนั่งแล้วจะเกิดอาการเจ็บที่บริเวณหลัง และจากการรักษาโดยการยืดกระดูกจากเรเซอร์มาประมาณ 5 ครั้ง หากมันได้ผล จะต้องเริ่มนั่งได้แล้ว นางพิชาพัทธ์ จึงตัดสินใจพาพี่สาวของเธอเปลี่ยนโรงพยาบาลไปที่โรงพยาบาลศิริราชฯ เพื่อที่จะให้หมอผู้เชี่ยวชาญดูเรื่องกระดูก เพราะคิดว่า โรงพยาบาลที่เคยรักษา อาจจะรักษาผิดวิธี จากนั้น เธอได้นำเอกสารจากการตรวจสอบอาการจากโรงพยาบาลเก่ามาให้หมอที่โรงพยาบาลศิริราชฯ ทันทีที่หมอได้รับเอกสารดังกล่าว ก็ทราบทันทีว่าพี่สาวของเธอนั้นไม่ได้เป็นโรคกระดูกทับเส้น แต่เป็นโรคมะเร็ง

เธอคิดว่าจะทำการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชฯเลยทันที แต่ก็ยังคงมีอุปสรรคมาขวาง เนื่องจากเธอต้องรอคิวนานกว่า 7 เดือน เพื่อที่จะได้ส่องกล้องเพื่อตัดเนื้อเยื่อมาวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งอะไร ซึ่งเธอเองคงรอขนาดนั้นไม่ได้ และตัดสินใจเปลี่ยนโรงพยาบาลอีกครั้ง จึงได้ย้ายไปที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งแห่ง เพื่อเอ็กซเรย์ ส่องกล้อง และตัดเนื้อเยื่อ รวมทั้งหมด เสียค่าใช้จ่ายไปกว่า 2 แสนบาท และผลสรุปออกมาว่า เป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย!!!

ต่อมาได้มีการเจรจากันเรื่องการรักษาตัดสำไส้ ซึ่งราคาเบื้องต้นสูงถึง 2 ล้านบาท ยังไม่รวมการรักษาอื่นๆ ทำให้เธอสู้ราคาไม่ไหว จึงต้องย้ายโรงพยาบาลอีกครั้ง
ครั้งนี้ได้ย้ายมาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งวันที่ได้ไปตรวจเธอพบกับอาจารย์หมอผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมด้านลำไส้คนหนึ่ง (ไม่ประสงค์ออกนาม) หลังจากที่หมอคนนี้ทราบถึงอาการของผู้ป่วย ก็รีบสั่งให้แอดมิดทันที ความหวังของหญิงป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายคนนี้ เริ่มต้นขึ้น หมอคนนี้ให้การรักษาด้วยการทำคีโม ซึ่งการให้ยาเข้าไป คล้ายกับการให้น้ำเกลือที่ทุกคนเคยเห็น โดยจะต้องให้หมดภายใน 4 ชม. โดยจะต้องพัก 2 อาทิตย์ แล้วกลับมาทำอีกครั้งในแบบเดิม แต่ผลปรากฏว่า แพ้!!! เธอแพ้การให้คีโมครั้งนี้ เนื่องจากเธอมีอาการอวก กินไม่ได้ และน็อค เพราะผู้ป่วยรายนี้มีเกร็ดเลือดต่ำกว่ามาตรฐานมาก โดยปกติคนทั่วไปจะมีเกร็ดเลือด 2 แสนกว่า คนที่จะทำคีโมได้ต้องเกร็ดเลือด 1 แสนกว่า แต่ผลการทำคีโมครั้งแรกของเธอ เกร็ดเลือดเหลือเพียง 3 หมื่นกว่า
ต่อมาได้เปลี่ยนวิธีการทำคีโม เป็นการให้ยาแทน ซึ่งทานไปได้เพียง 4 ครั้ง เกิดอาการแพ้หนักกว่าเดิม ผลคือทำให้เธอน็อค ซึ่งครั้งนี้ เกร็ดเลือดของเธอเหลือแค่ 1 หมื่นกว่าเท่านั้น เธอจึงถูกหาดส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งหมอบอกว่า หากมาช้ากว่านี้ อาจจะช็อคตายได้

จนมาถึงวิธีที่ 3 คือการทำคีโมคล้ายกับครั้งแรก แต่ไม่ใช่การเร่งให้ยาเข้าไปฆ่าเซลล์ร้าย เพราะครั้งแรกใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งอาจจะทำให้ร่างกายรับไม่ไหว เพราะสารตัวนี้ เข้าไปทำร้ายทั้งเซล์ดีและเซลล์ไม่ดี จึงเปลี่ยนวิธีโดยการนอน 3 วัน 2 คืน เพื่อให้ยาค่อยๆเข้าไปในร่างกาย ซึ่งผลการทำคีโมรูปแบบนี้ทำไปทั้งหมด 16 ครั้ง ผลปรากฏว่าร่างกายตอบรับดี เซลล์มะเร็งค่อยๆหายไปจากการทำคีโมในรูปแบบที่ 3 ผลการตรวจเซลล์มะเร็งในตอนแรก 50 กว่า เหลือเพียง 2 ซึ่งเป็นค่าที่ต่ำมาก คุณหมอได้บอกกับเธอว่า โดยปกติ คนเราจะมีเซลล์มะเร็งอยู่ในตัวทุกคน และมีค่ามะเร็งอยู่ที่ 5 ซึ่งถือว่าปกติ แต่หญิงป่วยมะเร็งคนนี้มีเซลล์มะเร็งอยู่เพียง 2 เท่านั้น นั่นอาจจะหมายความว่า เธอหายป่วยแล้วก็ได้

เวลาผ่านมา 3 เดือน เธอได้มาติดตามผลการรักษามะ แต่กลับโชคร้ายอีกครั้ง เมื่อสิ่งที่หมอบอกกับเธอ คือโรคร้ายชนิดเดิมที่เธอฝ่าฟันกว่าจะผ่านมาได้ มะเร็งที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ใช้เวลาเติบโตไม่นาน และครั้งนี้ กลับมีมากกว่าเดิม จากครั้งที่แล้วมีเซลล์มะเร็ง 50 แต่ครั้งนี้ มีสูงถึง 70 กว่า ทำให้หญิงคนนี้กลับมาใช้ชีวิตในการรักษาอีกครั้ง

แต่การรักษาครั้งนี้ จะใช้วิธีการเดิมไม่ได้ เพราะเซลล์มะเร็งตัวร้าย คุ้นเคยกับยาคีโมแบบเดิมแล้ว หมอของเธอจึงเปลี่ยนวิธีการรักษามาเป็นการรักษาแบบมุ่งเป้า ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายกว่า 3-4 หมื่นต่อครั้ง แต่ในความโชคร้าย ยังไม่ความโชคดีอยู่บ้าง เธอเป็นข้าราชการบำนาญ จึงสามารถเบิกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ได้ และเธอก็คิดว่า หากไม่สามารถเบิกได้ ป่านนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาตั้งแต่เริ่มต้น คงสูงไปถึงล้านกว่าบาท

สิ่งที่น่ากลัวอีกหนึ่งอย่างจากที่จันได้สัมภาษณ์คือ จากการลุกลามของมะเร็ง ทำให้ไปอุดตันช่องปัสสาวะ การมารักษารอบนี้ เธอมาผ่าตัดเปลี่ยนท่อปัสสาวะ ซึ่งเป็นการผ่าตัดและเย็บสด!
เรื่องที่น้องสะใภ้เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ในชีวิตจริงของหญิงวัย 70 กว่าคนนี้ ต้องมาเจอการรักษาที่ทำให้เธอต้องทรมาน แม้แต่เราที่เป็นคนรับฟัง ยังกลัวกับโรคร้ายนี้ ดังนั้น สิ่งที่เราจะป้องกันได้ ต้องเริ่มจากการดูแลตัวเอง และคนที่คุณรัก และหลีกเลี่ยงจากคำเตือนหลายๆอย่าง ว่าเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง เพราะถ้าหากชีวิตของคุณพลาดให้มะเร็งร้ายนี้เข้ามา ก็เป็นเรื่องยาก ที่จะกำจัดมันออกไป

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0