รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว / “ศ. ดุสิต”
อ่านอนาคตของคุณไม่ยากหรอก…แค่รู้จักดาว 10 ดวงเท่านั้น!
เรื่องลึกในโหราศาสตร์ไทยชุด ‘คลังโหร’
กาลีย่ำภพ (ต่อ)
การอ่านกาลีในระบบเลข ๗ ตัว
เนื่องจากรูปแบบวิชาเลข ๗ ตัวต่างกับวิชาโหราศาสตร์ เลข ๗ ตัวมีดาวเพียง ๗ ดวงและไม่มีราศี มีแต่นิยาม ๒๑ นิยามกับหลัก ๗ หลัก การจรของดาวก็ไม่เหมือนกับโหราศาสตร์ แต่เราก็สามารถที่จะนำเอาสูตรกาลีย่ำภพนี้มาใช้ในวิชาเลข ๗ ตัวได้ในแนวทางเดียวกัน เพียงแต่เราจะต้องเข้าใจในการนำดาวกาลีมาอ่านให้ถูกต้อง และมีกฎของระบบเลข ๗ ตัวอยู่แล้วว่า จะต้องดำเนินการจรของดาวอย่างไร คือ…
ดาวเดิมคือดาวที่เสถียรอยู่ในผังชาตากำเนิด
ดาวจรคือดาวที่สถิตในผังชาตากำเนิดแล้วจรไปตามแนวนอนของช่องนิยามปีละช่องตามจำนวนอายุการจรของดาวนี้มี ๒ แบบ คือ…
ก. นับหนึ่งที่ดาวอันเราประสงค์นั้นไปข้างหน้าปีละนิยามจนครบตามจำนวนปีที่กำหนดไว้ ตกที่ภพ (นิยาม) ใดก็ถือว่าดาวประสงค์ได้จรอยู่ที่ภพนั้น (ดาวเดิมจรก็เรียก)
ข. ทำ ‘ดวงจร’ ขึ้นมาแล้วใช้ดาวในดวงจรนั้นตรวจผลตามที่ดาวกาลีสถิตอยู่
จะสาธิตตัวอย่างให้ดูดังนี้-
ในระบบเลข ๗ ตัวนั้น การใช้ดาวกาลีมีความลึกซึ้งอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ยากนักหรอก การใช้ดวงเดิมนั้นเป็นการใช้ในกรณีที่เราต้องการตรวจเรื่องที่เราต้องการรู้อย่างคร่าวๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับปัจจุบันเท่าใดนัก
เช่น ในรูปตัวอย่างดวงเดิมนั้นเจ้าชาตามีอายุย่าง 59 ปี นับทักษาจรที่เกิดวันอังคารแล้วจะตกที่ภูมิราหูอันมีพฤหัสฯ เป็นกาลกิณี จึงวงไว้ที่ดาวพฤหัสฯ ฐานปี (เพราะเป็นกาลกิณีปีจร)
อ่านดูตามอีกสองฐานก็อ่านได้ว่า ปีนี้กาลีตกที่ศุภะ-อริ-ธนัง หมายถึงภาวะในด้านความก้าวหน้าและด้านเงินทองที่รักษาอยู่นั้นจะมีอุปสรรคเกิดขึ้น
แต่ถ้าต้องการจะดูต่ออีกว่า ในปีจรที่อายุตก 59 ปีนี้กาลีจะไปอยู่ที่ไหน ก็นับหนึ่งที่พฤหัสฯ ศุภะไปปีละช่อง ถึงทาสาแล้วก็กลับขึ้นไปยังอัตตะ อ่านเรื่อยไปจนถึง 59 ก็จะตกที่ภพมาตามีดาว ๗ ครองอยู่ในปีนี้ จึงอ่านที่ดาว ๗ ต่ออีกได้ความว่า มาตา-ตนุ-ลาภะ
หมายถึง การวางแผนเพื่อตนเองจะได้ลาภผลมากขึ้นนั้น เป็นกาลี
ทีนี้มาดูที่ดวงจรบ้าง ในดวงจรนั้นดาวพฤหัสฯ กาลีจรตกที่ศุภะ-ปัตนิ-อัตตะ อ่านได้ว่า การร่วมมือกับผู้บังคับบัญชา (ศุภะแปลว่าผู้บังคับบัญชา) จะเป็นผลร้ายแก่ตัว
ดวงจรนั้นเป็นดวงที่ใช้ดูเรื่องที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน การดูด้วยดาวกาลีก็เพราะเราต้องการจะดูเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี่แหละ ส่วนดวงเดิมนั้นใช้ดูเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับปัจจุบันหรือเกี่ยวข้องน้อย
เช่น ดูว่าการทำสวนยางของเราในปีนี้จะมีผลดีแก่ชีวิตของเราบ้างไหม เพราะราคายางมันตกลงทุกวัน?
หรือถ้าปีนี้เรามีเมียน้อยอีกคนจะเกิดอันตรายกับเราไหม? อะไรแบบนี้แหละครับที่เอาดวงเดิมมาดูได้ แต่ก็ต้องดูเป็นด้วยนะ คือต้องนำเอาปีจรมาสัมผัสด้วยจึงจะได้ผลที่ถูกต้อง ระบบของเลข ๗ ตัวนั้นให้ผลดีในบางจุดมากกว่าระบบโหราศาสตร์ด้วยซ้ำ แต่ก็ด้อยกว่าในบางจุดเหมือนกัน
สรุปแล้วก็พอๆ กันนั่นแหละครับ (ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรามากกว่า)
ในระบบเลข ๗ ตัวนั้นมีภพ 21 ภพผิดกับระบบโหราศาสตร์ แต่การใช้นั้นไม่ได้ผิดกันเลย เพียงแต่ในระบบเลข ๗ ตัวมีภพให้อ่านมากกว่าเท่านั้น และมีกรรมวิธีในการตรวจด้วยกาลีจรละเอียดกว่าโหราศาสตร์เสียอีก นักศึกษาที่จบใหม่ๆ อาจจะยังอ่านภพไม่คล่องนัก จึงขอแนะไว้ ณ ที่นี้เพื่อให้มีความเข้าใจ โดยจะแจงแบบสังเขปที่ภพในฐานวันให้ดูดังนี้
กาลีจรเข้าภพ…
อัตตะ (อัตตะเป็นกาลี)
หมายถึงความเดือดร้อนที่จะเกิดนั้น จะเกิดในด้านความเป็นอยู่ของตัวเอง ซึ่งมักเป็นเรื่องของทางเดินชีวิตนั่นแหละ
หินะ (หินะเป็นกาลี)
ความเดือดร้อนที่อาจทำให้เกิดความด้อย หรือถดถอยแห่งชีวิต
ธนัง (ธนังเป็นกาลี)
ความเดือดร้อนที่เกี่ยวกับการเงิน, สิ่งที่เจ้าตัวกำลังปกครองหรือรักษาอยู่
ปิตา (ปิตาเป็นกาลี)
ตำแหน่ง, ศักดิ์ศรี, ความสูงส่ง ถูกรบกวน ผู้ใหญ่ให้โทษ, ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
มาตา (มาตาเป็นกาลี)
ความเดือดร้อนจากเพศตรงข้าม, การบริหารจัดการจะมีอุปสรรค, ทำคุณได้โทษ
โภคา (โภคาเป็นกาลี)
ระวังการรับของฝาก, ทรัพย์สินเสียหาย, มีผู้จ้องทำลายทรัพย์สินของเรา, ระวังของหาย
มัชฌิมา (มัชฌิมาเป็นกาลี)
เดือดร้อนเพราะสิ่งอันเป็นสาธารณะ (จะใช้บริการสาธารณะต้องรอบคอบ) เช่น ขับรถชนกับแท็กซี่หรือรถเมล์, นั่งเครื่องบินที่ประสบอุบัติภัย, วิ่งราวทรัพย์เขาแล้วถูกจับ
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้คือพิษของกาลีอย่างสังเขปที่เราควรจดจำไว้ แต่อย่าลืมว่า กาลี นั้นคือสิ่งที่ให้โทษ มันไปอยู่ที่ไหนก็ให้โทษที่นั่นอยู่แล้ว ทว่าโทษที่กาลีให้นั้นผมบอกแล้วว่ามันไม่ใช่โทษที่รุนแรงมากนัก เป็นโทษชนิดแสบคัน ไม่ใช่โทษชนิดหักโค่น แต่อาจมีบางคนเถียงว่าหักโค่นถึงกับเสียชีวิตก็มี
ผมก็ไม่เถียงอีก เพราะดวงชาตาหลายดวงต้องกาลีถึงตายก็มี แต่นั่นเป็นเพราะชาตานั้นถูกดาวร้ายอื่นเข้ามาหักโค่นอยู่แล้ว และกาลีจรมาเข้าภพนั้นเป็นการผสมโรง (เนื่องจากชาตาถึงจุดแล้ว) ดวงชาตานั้นจึงถึงขั้นหักโค่นลง มันก็เท่านี้เอง
ผมรู้ดีว่า โดยปกติแล้วคนเรามักยกระดับของ “กาลกิณี” หรือ กาลี นี้ไว้สูงมาก คือถึงขั้นหักโค่นอย่างที่ว่ามานั่นแหละ ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้วโทษของมันไม่ได้มากมายอะไรเลย
เช่น คุณเดินกลับบ้านแล้วเห็น ‘เหี้ย’ ตัวหนึ่งกำลังเดินอยู่ที่ระเบียงบ้าน คุณก็ร้องโวยวายด้วยความตกใจราวกับไฟไหม้บ้าน ทั้งๆ ที่มันก็แค่เป็นสัตว์เลื้อยคลานธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
มันให้โทษแก่คุณก็แค่อาจทำให้ระเบียงบ้านของคุณเปื้อนเปรอะโคลนจากรอยเท้าของมันเท่านั้น
แต่คุณก็จัดโทษของมันเสียสูงลิบ อาจถึงกับลงทุนนิมนต์พระทั้งวัดมาเลี้ยงเพลเพื่อไล่เสนียดจัญไรที่คุณคิดว่าคุณได้รับแล้ว
ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรซักหน่อยเลยด้วยซ้ำ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเราเคยได้ยินคำโบราณท่านเล่าให้ฟังถึงอิทธิฤทธิ์ของกาลีในแบบต่างๆ ซึ่งก็มีทั้งรุนแรงและไม่รุนแรง
แต่เราจะจับเอาแต่เรื่องรุนแรงมาจำไว้ เลยลืมไปว่าความจริงแล้วมันไม่ได้รุนแรงอะไรนักเลย
พอวิชาพยากรณ์มาพูดถึงคำว่า กาลี ก็จำได้ว่ามันให้โทษรุนแรง ก็อ่านกันไปตามความจำนั้นจนโทษของกาลีรุนแรงทุกเรื่องไป
มาถึงตรงนี้แล้ว ก็หวังว่าคุณคงจะเข้าใจคำว่า “กาลี” ดีขึ้น คือรู้จักว่ามันคือพิษที่ให้ความเดือดร้อนแบบน่ารำคาญหรือแบบเจ็บๆ คันๆ หรือเป็นโทษอีกแบบหนึ่งที่คุณรู้จักดีว่ามันคือ เสนียดจัญไร อย่างที่บอกมาแล้วนั่นเอง
มีอีกอย่างหนึ่งที่หลายคนยังฉงนกันอยู่ว่า ทำไมระบบเลข ๗ ตัวจึงต้องมีกาลกิณีถึงสามตัว ในเมื่อโหราศาสตร์เขามีเพียงตัวเดียวยังบอกว่าแย่แล้ว นี่เล่นตั้งสามตัวมิแย่หนักถึงสามเท่าเรอะ?
ไม่แย่หรอกครับ เพราะการมีสามตัวของระบบนี้ความจริงแล้วก็เท่ากับมีตัวเดียวนั่นแหละ แต่ระบบเลข ๗ ตัวนั้นมีสามฐาน จึงมีดาวสามตำแหน่ง เมื่อเป็นกาลีก็เป็นเพียงดาวดวงใดดวงหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีตั้งสามดาวเมื่อไหร่ แต่ดวงหนึ่งมีสามตำแหน่งสามภพ เราจึงเอาความหมายของทั้งสามภพนั้นมาประยุกต์รวมกันแล้วออกมาเป็นเรื่องเดียว เราจึงได้ผลลัพธ์ที่ละเอียดซึ่งอาจจะดีกว่าของโหราศาสตร์ด้วยซ้ำ
ในตอนหน้าผมจะยกตัวอย่างดวงมาให้ดูกันเพื่อความเข้าใจ ตามอย่าให้พลาดนะครับ
