โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

รู้จัก'โรคตุ่มน้ำพอง' วินัย ไกรบุตรป่วยเกิดได้1ใน4แสน

เดลินิวส์

อัพเดต 15 มิ.ย. 2562 เวลา 05.36 น. • เผยแพร่ 15 มิ.ย. 2562 เวลา 05.13 น. • Dailynews
รู้จัก'โรคตุ่มน้ำพอง' วินัย ไกรบุตรป่วยเกิดได้1ใน4แสน
วงการบันเทิงช็อก! “เมฆ-วินัย ไกรบุตร” ป่วยโรคหายาก “ตุ่มน้ำพอง” เกิดขึ้นได้ 1 ใน 4 แสนคน อาการแสบร้อนสุดทรมาน หมอเผยสาเหตุพร้อมแนะวิธีป้องกัน 

ถึงกับช็อก! เมื่อ"เมฆ-วินัย ไกรบุตร" ดารานักแสดงชื่อดัง ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า ขณะนี้ป่วยเป็นโรคเพมพิกอยด์ หรือโรคตุ่มน้ำพอง ซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง โดยภูมิคุ้มกันของตัวเองผิดปกติที่ผิวหนัง ซึ่งเกิดขึ้นได้ 1 ใน 4 แสนคน คนไทยมีไม่ถึง 10 คน ส่วนสาเหตุอาจจะเกิดจากการทำงานดึก และออกกำลังกายเยอะไปหรือไม่ รวมถึงผสมกับการที่ตนถูกน้ำร้อนลวก จึงทำให้ผิวหนังเหมือนขาดเมตาบอลิซึม จึงทำให้เกิดเป็นโรคนี้ขึ้นมา ส่วนอาการจะแสบร้อน คัน ทรมานสุดๆ ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "เดลินิวส์ออนไลน์" จะพาไปรู้จักกับโรคดังกล่าว ซึ่งภาควิชาตจวิทยา Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ "โรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน" ไว้ว่า เป็นโรคที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อผิวหนังและเยื่อบุของตนเอง ทำให้เกิดการแยกตัวของผิวหนัง ในชั้นหนังกำพร้า หรือบริเวณรอยต่อของหนังกำพร้า และหนังแท้ ทำให้เกิดตุ่มน้ำพองขึ้นที่ผิวหนัง หรือเยื่อบุต่างๆ เช่น ในปาก เป็นต้น ตัวอย่างของโรคเหล่านี้ คือ โรคเพมฟิกัส (Pemphigus) และเพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid)

โดยสาเหตุเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีแนวโน้มทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยพื้นฐานสิ่งแวดล้อม เช่น เชื้อโรค และสารเคมีเป็นปัจจัยกระตุ้นมีบทบาทร่วมกันในการก่อโรค โรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกันไม่ใช่โรคติดต่อ

ส่วนอาการและอาการแสดงโรคกลุ่มนี้บางชนิดพบในวัยเด็ก บางชนิดพบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ พบได้ทั้งเพศหญิงและชาย มีตุ่มน้ำพองขนาดต่างๆ เกิดขึ้นที่ผิวหนัง บางรายอาจเกิดที่เยื่อบุต่างๆ ร่วมด้วย เมื่อตุ่มน้ำแตกจะเกิดแผลหรือรอยถลอก ทำให้มีอาการเจ็บ ถ้าเกิดตุ่มน้ำพองหรือแผลในปากจะทำให้เจ็บแสบกลืนอาหารไม่สะดวก บางรายผิวหนังที่ถลอกหรือเป็นแผล อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นหนอง ถ้าเป็นรุนแรง เชื้อโรคอาจเข้าสู่กระแสโลหิตทำให้มีไข้ หรืออาการอื่นๆ ได้

ส่วนการรักษาโรคตุ่มน้ำพองชนิดเพมฟิกัสและเพมฟิกอยด์ ยาหลักที่ใช้รักษาคือ เพรดนิโซโลน (prednisolone) จะเริ่มด้วยขนาดสูงก่อน เมื่อควบคุมอาการของโรคได้แล้ว จึงค่อยลดยาลง เพื่อหาจุดที่ใช้ยาต่ำสุดที่สามารถควบคุมได้ การปรับขนาดยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ถ้าผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงระหว่างรับประทานยาต้องรีบปรึกษากับแพทย์ผู้ดูแลและเพื่อพิจารณาปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนไปใช้ยา กลุ่มอื่นๆ ที่ใช้ได้แก่ dapsone ยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ (cytotoxic drugs) ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการน้อย อาจใช้ยา dapsone ควบคุมอาการของโรคได้ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากอาจเริ่มควบคุมอาการของโรคด้วยเพรดนิโซโลนขนาดสูงร่วมกับยากดภูมิคุ้มกัน ระยะเวลาที่จะสามารคุมโรคได้อาจใช้เวลาเป็นเดือน 

สำหรับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ควรทราบว่าโรคในกลุ่มนี้มีความรุนแรงต่างกัน บางคนอาจมีตุ่มน้ำจำนวนน้อย แต่บางคนก็อาจมีตุ่มน้ำจำนวนมาก ถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่มีตุ่มน้ำจำนวนน้อยหากไม่ได้รับการรักษา อาการจะกำเริบมากขึ้นได้ โรคกลุ่มนี้เป็นโรคเรื้อรัง มีอาการของโรคอาจกำเริบและสงบสลับกันไป ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรรับการตรวจรักษาโดยสม่ำเสมอ และต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งโดยเคร่งครัด ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเองเพราะจะทำให้โรคกำเริบขึ้นได้ เนื่องจากผู้ป่วยมักจะได้รับยาที่กดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง 

ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตัวดังนี้

*• หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อ ไม่ไปสถานที่แออัด เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ *

• ถ้ามีอาการที่บ่งถึงการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง ไอ ปัสสาวะแสบขัด ควรปรึกษา

• ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หรือไม่สะอาด

• ถ้าโรคยังไม่สงบ ไม่ควรตั้งครรภ์ เนื่องจากยาที่รับประทานเพื่อควบคุมโรคอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ ถึงแม้ว่าโรคสงบแล้ว ถ้าจะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะแพทย์อาจจะยังให้ยาบางชนิดเพื่อควบคุมโรคไม่ให้กำเริบ ซึ่งอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้เช่นกัน

• ผู้ป่วยที่ได้รับยาเพรดนิโซโลน ถ้ามีอาการปวดท้องอุจจาระดำ หรืออาเจียนเป็นเลือดควรแจ้งให้แพทย์ทราบ

• ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

• ดื่มนมสด หรือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงป้องกันกระดูกพรุน

สำหรับผู้ป่วยทีมีตุ่มน้ำแตกเป็นแผลในปาก ควรปฏิบัติดังนี้

•ใช้น้ำเกลือ (Normal saline) อมกลั้วปากบ่อยๆ หรือทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปากยาฆ่าเชื้อที่เข้มข้น

• หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารเผ็ด หรือเปรี้ยว จะทำให้แสบหรือเจ็บแผลมากขึ้น

สำหรับผื่นที่ผิวหนัง ควรปฏิบัติดังนี้

• หลีกเลี่ยงการประคบหรือพอกแผลด้วยสมุนไพร ผงหรือยาใดที่แพทย์ไม่ได้เป็นผู้สั่ง

• ถ้าต้องการทำความสะอาดแผล ควรใช้น้ำเกลือ (Normal saline) เช็ดเบาๆ อาจใช้ยาทา เช่น ยาครีมฆ่าเชื้อ ไม่ควรปิดแผลบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังหลุดถลอก

• หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารเผ็ด หรือเปรี้ยว จะทำให้แสบหรือเจ็บแผลมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูล ภาควิชาตจวิทยา Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ขอบคุณภาพประกอบจาก วินัย ไกรบุตร

*ข่าวที่เกี่ยวข้อง *

"วินัย ไกรบุตร"ป่วยโรคหายาก "ตุ่มน้ำพอง"ทำโทรมหนัก

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0