แม้ว่าโรคภัยไข้เจ็บจะรุนแรงขึ้นทุกวัน แต่เราก็ยังมีทางเลือกที่จะช่วยป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ หนึ่งในวิธีเหล่านั้นก็คือการฉีดวัคซีน มาดูกันดีกว่าว่าวัคซีนชนิดต่าง ๆ ช่วยป้องกันโรคอะไรได้บ้าง ใครควรจะฉีด และเมื่อฉีดแล้วจะมีผลข้างเคียงอย่างไร
Influenza Vaccine ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟูเอ็นซ่า ซึ่งมีการระบาดเป็นช่วงๆในหน้าฝนและหน้าหนาว วัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อนฤดูฝน (พฤษภาคม) และก่อนฤดูหนาว (เดือนตุลาคม) เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการระบาด นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) และ กระทรวงสาธารณสุขฯ ได้แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำปีละ 1 ครั้ง
กลุ่มเป้าหมาย คือ
1.บุคลากรทางการแพทย์+เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย
2.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
3.เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี
4.ผู้ที่มีโรคเริ้อรัง เช่น หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน เป็นต้น
5.บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
6.ผู้ที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 100 กก. หรือ BMI ตั้งแต่ 35 kg/mm.
7.ผู้ที่มีโรคด้านภูมิคุ้มกันบกพร่อง
8.บุคคลทั่วไปทุกช่วงอายุ
ไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วย
1.รักษาร่างกายให้แข็งแรง และอบอุ่น
2.ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่เป็นประจำ
3.เครื่องใช้ส่วนตัวไม่ควรใช้ปะปนกับผู้อื่น
4.หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนแออัด
5.ไม่คลุกคลีหรือนอนร่วมกับผู้ป่วยในระยะที่มีการระบาดของโรค
6.ในผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรได้รับวัคซีนตามกำหนดเวลาที่แพทย์แนะนำ
Rota Vaccine ไวรัสโรต้าคืออะไร เป็นไวรัสที่ติดเชื้อในทางเดินอาหาร (ช่องท้อง) ทำให้เกิดอาการท้องร่วงและอาเจียนอย่างรุนแรง ความเจ็บป่วยและอาการท้องร่วงที่เกิดจากโรตาไวรัส (rotavirus) โดยมักเกิดกับเด็กทีมีอายุต่ำกว่า 5ปี กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กปกติทั่วไป ที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าครั้งที่ 1 คือ อายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป โดยอายุมากที่สุดที่ยังสามารถได้รับวัคซีนครั้งที่ 1 คือ อายุ 14 สัปดาห์ หรือ ควรเริ่มให้ที่ช่วงอายุ 2 เดือนแต่ไม่เกิน 4 เดือนมีทารกน้อยมากที่ไม่สามารถรับวัคซีนโรตาไวรัสได้ จึงพบว่าไม่ควรให้วัคซีนแก่ทารกที่มีอาการดังนี้
1.มีอาการแพ้ (ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง) กับวัคซีนก่อนหน้านี้หรือส่วนผสมใด ๆ ในวัคซีน
2.ภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดรุนแรง(Severe combined immunodeficiency syndrome หรือ SCID) (SCID)อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เด็กที่ได้รับวัคซีนบางครั้งอาจมีอาการกระสับกระส่ายหรือหงุดหงิดง่าย และบางคนอาจถึงขั้นมีอาการท้องร่วงเล็กน้อย
HPV Vaccine HPV (Human Papillomavirus ) คือสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งสายพันธุ์ของ HPV ที่ก่อโรคมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยประมาณร้อยละ 70-75 คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 ในขณะนี้วัคซีน HPV มี 2 ชนิด คือ ชนิดไวรัส 4 สายพันธ์ คือ 6 ,11, 16 ,18 และชนิดไวรัส 2 สายพันธ์ คือ 16 ,18 ซึ่งจะแนะนำให้ฉีดในเพศหญิงที่ยังไม่ติดเชื้อ HPV นั่นคือ ก่อน การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ซึ่งวัคซีนนี้สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 – 45 ปี โดยพบว่า HPV 4 สายพันธ์สามารถป้องกันได้ ดังนี้ คือ
1. มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งปากช่องคลอด, มะเร็งช่องคลอดและมะเร็งทวารหนัก
2. ภาวะก่อนมะเร็ง (precancerous) หรือภาวะเซลล์ผิดปกติชนิด dysplasia
3. หูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
4. การติดเชื้อที่มีสาเหตุจาก เชื้อไวรัสฮิวแมนแปปิลโลมา (HPV)
โดยพบว่า HPV ไม่เพียงแต่จะเป็นวัคซีนที่แนะนำในเพศหญิงเท่านั้น ยังเป็นกลุ่มวัคซีนทางเลือกสำรับเพศชายได้ เช่นกัน เนื่องจากสามารถป้องกันหูดบริเวณอวันวะเพศและทวารหนัก โดยในเพศชาย แนะนำฉีดได้ระหว่างอายุ 19- 26 ปี
ข้อจำกัด : ผู้ที่มีการติดเชื้อแล้ววัคซีนไม่สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคใหม่ได้อย่างชัดเจน
ข้อควรระวัง : วัคซีนไม่แนะนำให้ฉีดในหญิงตั้งครรภ์ และไม่ควรฉีดในผู้ที่แพ้วัคซีนและส่วนประกอบในวัคซีน
อาการข้างเคียง : สามารถพบอาการปวด บวม แดง คัน บริเวณที่ฉีดวัคซีนและอาจมีไข้ได้
Hepatitis A + B Vaccine ไวรัสตับอักเสบ คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ ซึ่งตับอักเสบเป็นภาวะที่มีการอักเสบเกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้การทำหน้าที่ต่างๆ ของตับผิดปกติ นำไปสู่การเจ็บป่วยไม่สบาย สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคตับอักเสบ คือ การติดเชื้อไวรัสรองลงมาเกิดจากสุรา ยาบางชนิด ฯลฯ
ใครควรได้รับการฉีดวัคซีน : กลุ่มเป้าหมาย คือ Hepatitis A :
1.เด็กทุกคนที่มีอายุ 12-23 เดือน หรือ เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปที่ไม่เคยได้รับวัคซีน
2. คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเชื้อ
3. บุคลากรทางการแพทย์
4.เด็กและวัยรุ่นที่มีอายุ 2-18 ปีที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่พบการระบาดของโรค Hepatitis B
5. เด็กแรกเกิดทุกคน
6. คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเชื้อ หรือ บุคคลที่เกิดก่อนปีที่มีการเริ่มให้วัคซีน ( ปี 2535 หรือมีอายุ 20 ปี ขึ้นไป)
นอกจากนั้นบุคคลที่ควรได้รับวัคซีน คือ
1.บุคคลที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
2.บุคคลที่เป็นโรคตับ โรคไตอักเสบเรื้อรัง หรือโรคไตวายที่ต้องมีการล้างไต
3.บุคคลที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปีที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
4.ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV
อาการข้างเคียงที่พบได้หลังฉีดวัคซีน : ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีดวัคซีน ไข้ต่ำๆ ปวดหัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
คุณสามารถป้องกันไวรัสตับอักเสบ ได้อย่างไร
1.การรักษาสุขอนามัย
2.รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ดื่มน้ำที่สะอาด
3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือการให้เลือดหรือส่วนประกอบต่างๆโดยไม่จำเป็น
4.ไม่ใช้ของมีคม เข็มฉีดยา หลอดฉีดยา หรือไม่ใช้ภาชนะในการดื่มน้ำ รับประทานอาหารร่วมกบผู้อื่น
5.การฉีดวัคซีนป้องกัน
Pneumococcal Vaccine 23 สายพันธ์ ปอดอักเสบ คือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ซึ่งอาจเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา โดย ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัสซึ่งสาเหตุของโรคจะมีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอายุและ สภาพแวดล้อม โดยทั่วไปแล้วโรคปอดอักเสบมักเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากโรคไข้หวัดใหญ่ ที่จะพบมากในช่วงฤดูฝน
กลุ่มเป้าหมาย คือ
1.ฉีดวัคซีนปกติในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
2.ผู้มีอายุ 2- 65 ปี ที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติ จากยาเช่น สเตียรอยด์, ยากดภูมิ, ยาต้านมะเร็งบางชนิด, ได้รับการฉายรังสี หรือเป็น จากตัวโรคเองเช่น โรคไตวาย, มะเร็ง, ไม่มีม้ามหรือม้ามไม่ทำงาน, ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือไขกระดูก, ติดเชื้อ HIV มีปัญหาโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคปอด, โรคหัวใจ เบาหวาน, ตับแข็ง, พิษสุราเรื้อรัง, สภาวะที่มีการรั่วของน้ำไขสันหลัง
3.ผู้มีอายุ 19 - 64 ปี ที่สูบบุหรี่ หรือเป็นโรคหืด ควรฉีดวัคซีนซ้ำในผู้ที่อายุตั้งแต่ 65 ปี ขึ้นไปทุกคน ซึ่งไม่ได้รับการฉีดวัคซีนมาเป็นเวลา 5 ปี (และผู้ที่ฉีดวัคซีนในขณะที่อายุน้อยกว่า 65 ปี)
ข้อควรระวัง คือ ไม่แนะนำการฉีดวัคซีนซ้ำอีกหลังจากฉีดแล้ว 2 ครั้ง เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอในเรื่องความปลอดภัยในการรับวัคซีนเป็นครั้งที่ 3 ควรดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เป็นโรคปอดอักเสบ วิธีการง่ายๆ ในการดูแลตัวเองสำหรับผู้สูงอายุ คือพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยเป็นไข้หวัดหรือเริ่มมีอาการไข้หวัด ควรล้างมือสม่ำเสมอเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย การดูแลตัวเองให้แข็งแรง โดยทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังเป็นประจำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคปอดอักเสบได้อีกทางหนึ่ง
Varicella Vaccine อีสุกอีใส เป็นการติดเชื้อ varicella ทำให้เกิดผื่นแดง คัน ร่วมกับมีไข้และไม่มีแรง โดยเด็กที่ป่วยด้วยโรคนี้ อาจพบภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนทาง ผิวหนัง ปอดอักเสบ และอาจร้ายแรงถึงการเกิด สมองอักเสบก็เป็นได้
ใครควรได้รับการฉีดวัคซีน : เด็กอายุ 12 เดือนและมากกว่า
1.กรณีปกติ : ให้วัคซีนในเด็ก อายุ 12 เดือนขึ้นไป โดยฉีดเข็มแรกที่ อายุ 12-18 เดือน เข็มที่ 2 อายุ 2-4 ปี
2.กรณีเกิดการระบาด : เข็มแรก 12-18 เดือน เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก อย่างน้อย 3 เดือน
3.กรณีเริ่มฉีดเมื่ออายุมากกว่า 13 ปี : ฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน
คุณสามารถป้องกันไวรัสตับอักเสบ ได้อย่างไร
1.สวมหน้ากากอนามัย
2.ล้างมือบ่อยๆ รักษาความสะอาด
3.ฉีดวัคซีน ประโยชน์ของวัคซีน เป็นการป้องกันการเกิดโรค โดยเฉพาะเมื่อถึงวัยที่ต้องไปโรงเรียน วัคซีนหนึ่งเข็มสามารถป้องกันโรคขนาดปานกลางได้ 95% และโรคขั้นรุนแรงได้ 100% การให้วัคซีนสองเข็มจะให้ผลที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเพียงหนึ่งเข็ม
Zoster Vaccine โรคงูสวัด เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ชนิดวาริเซลลา-เซอเตอร์ (Varicella-zoster Virus ย่อว่า VZV) โดยมีอาการแสดงทางผิวหนังคือ เกิดตุ่มน้ำขึ้นบนผิวหนัง มีอาการปวดบริเวณรอยโรคที่ผิวหนังโดยเฉพาะที่มีตุ่มน้ำ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะมีอาการปวดแปลบ (ปวดเส้นประสาท) บริเวณผิวหนังประมาณ 3 - 4 วันก่อนผื่นและ ตุ่มน้ำจะเกิดขึ้น โดยทั่วไปเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ในระยะเวลา 2 - 4 สัปดาห์ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค งูสวัด เป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับที่ก่อโรคอีสุกอีใส
ใครควรได้รับการฉีดวัคซีน : กลุ่มเป้าหมายคือ แนะนำให้ฉีดกระตุ้นภูมิในกลุ่มอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป (เนื่องจากเป็นผู้ที่อายุเพิ่มขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลง) อาการไม่พึงประสงค์ที่สามารถเกิดได้
1.เกิดผื่นคันตามตัว
2.อาการบวม แดง ปวด คันบริเวณที่ฉีดวัคซีน
3.ปวดศีรษะ / วิงเวียน ข้อควรระวัง คือ ในกรณีที่ผู้รับวัคซีนมีไข้สูง 38.5 องศา และไม่ควรรับวัคซีนพร้อมกับวัคซีนปอดอักเสบ ควรพิจารณาใช้วัคซีนทั้งสองตัวห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์