ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) จัดงาน “Happy Money x SET Inspire เปลี่ยนเพื่ออนาคตที่ดีหลังเกษียณ” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเพิ่มความรู้แก่คนไทย เตรียมความพร้อม เพื่อสามารถเกษียณได้อย่างมีความสุข ในหัวข้อ “เพราะชีวิตต้องวางแผนมาเตรียมเกษียณสุขกันเถอะ”
โดย นางสาวอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง CFP® รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย กูรูด้านวางแผนการเงิน แบ่งปันเคล็ดลับ “เกษียณสุข” ด้วยพลังเงินแนะเลิกผลัดวันประกันพรุ่ง ตั้งฝันให้ใหญ่ ตั้งเป้าหมายให้ไกล แล้วลงมือทำ
นางสาวอุมาพันธุ์ กล่าวว่าเงินจำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในทุกช่วงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว แต่งงาน หรือสร้างครอบครัว
‘เงินอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกอย่าง แต่เงินจะสร้างความแตกต่างได้’
เป้าหมายทางการเงิน จะเกิดขึ้นจากความฝันของแต่ละคนซึ่งแตกต่างกันออกไป สิ่งที่สำคัญคือต้อง 'ตั้งฝันให้ใหญ่ ตั้งเป้าหมายให้ไกล แล้วลงมือทำ'
นิสัยคนไทย ชอบมีการผลัดวัน “เดี๋ยวก่อน ไว้ก่อน รอก่อน พรุ่งนี้ดีกว่า” เปลี่ยนเป็นคำว่า “เดี๋ยวนี้" ชีวิตเกษียณที่แสนสุขจะอยู่แค่เอื้อม
ช่องทางสร้างรายได้มีอยู่ 2 ทาง
ช่องทางแรก 1 ได้รายได้มากจาก แรงกายทำงานตามศักยภาพใช้จ่ายตามอัตภาพ
โดยแรงกายแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือแรงกาย ในลักษณะที่ต้องใช้กำลังกาย เช่นช่างฝีมือ กลุ่มนี้จะทำรายได้เยอะในช่วงต้นเพราะมีแรงทำงานเยอะ จะลดลงในช่วงปลายเนื่องจากอายุที่มากขึ้น และ แรงกายแบบ มนุษย์เงินเดือน ที่จะทำรายได้น้อยในช่วงต้นและเพิ่มขึ้นช่วงปลาย เนื่องจากประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นแรงกายเป็นแรกหรือแบบที่สองย่อมหยุดสร้างรายได้ ทันทีที่เราหยุดทำงาน หรือเกษียณ
ช่องทางที่ 2 ‘พลังเงิน’ ที่สามารถสร้างได้โดยไม่ต้องใช้แรงกาย หมายถึงเงินทำงานได้เอง สามารถออกดอกออกผล พันธบัตรและหุ้นกู้ ออกดอก ลงทุนในหุ้นจะออกผล หรือเงินปันผล
โดย สามารถลงทุนได้หลากหลายช่องทาง โดยแต่ละประเภทจะมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่แตกต่างกัน
เงินฝาก : มั่นคง เงินต้นไม่สูญ ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.73% ต่อปี
ทองคำ : รักษาความมั่งคั่งและอำนาจการซื้อ ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.56% ต่อปีตราสารหนี้ : เสี่ยงน้อย ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.15% ต่อปี
หุ้น : เป็นเจ้าของกิจการได้โดยไม่ต้องนับหนึ่ง ผลตอบแทนเฉลี่ย 11.61% ต่อปีทางเลือกอื่นๆ : กองทุน อสังหาฯ ของสะสม
สามารถเติบโตได้จาก กฎ 72 หรือกฎแห่ง 'อัตราดอกเบี้ยทบต้น' ที่ช่วยเพิ่มพูนเงินได้เป็นเท่าตัว
เช่น หากมีราย 100,000 บาท อยากให้งอกเงยเป็น 200,000 บาท จะต้องใช้เวลาปี ใช้ 72 เป็นตัวตั้งต้น หารด้วยอัตราผลตอบแทนที่ลงทุน
หากเลือกวิธีฝากเงินในบัญชีธนาคาร อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี เมื่อคำนวณตามกฎ 72 คือ 72 หาร 1 จะมีค่าเท่ากับ 72 นั่นคือจำนวนปีที่เงิน 1 แสนบาท จะเพิ่มเป็น 2 แสนบาทภายในเวลา 72 ปี
หากเลือกลงทุนในหุ้น อัตราดอกเบี้ย 12% ต่อปี เมื่อคำนวณตามกฎ 72 คือ 72 หาร 12 จะมีค่าเท่ากับ 6 นั่นคือจำนวนปีที่เงิน 1 แสนบาท จะเพิ่มเป็น 2 แสนบาทภายในเวลา 6 ปี
อีกหนึ่งมุม ถ้าตั้งเป้าที่ชัดเจน อยากให้เงิน 1 แสนบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนบาท ในเวลา 10 ปีจะต้องลงทุนที่มีอัตราผลตอบแทนเท่าไหร่ได้
โดย มีเงิน 72 ตั้ง หารด้วยจำนวนปีที่ต้องการ จะได้ผลลัพธ์เป็นอัตราผลตอบแทนที่ต้องลงทุน เช่น
หากต้องการให้เงิน 1 แสนบาท เป็น 2 แสนบาทในระยะเวลา 10 ปี สามารถคำนวณตามกฎ โดยตั้ง 72 หาร 10 ซึ่งเป็นจำนวนปี จะได้ผลลัพธ์ 7.2 นั่นคืออัตรผลตอบแทนที่ต้องลงทุนให้ได้ตามเป้า เป็นต้น
จากหลายทางเลือก หุ้น ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาว แม้มีความผันผวน บางครั้งอาจจะมากกว่าหรือน้อยค่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ย จากสถิติในปี 2545-2560 หุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2546 โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 129% รวมเงินปันผล ในทางกลับกันช่วง 15 ย้อนหลัง ในวิกฤต แฮมเบอร์เกอร์ หุ้นไทยปรับตัวลดลงถึง -44%
ซึ่งความผันผวนของตลาด มีวิธีลดความผันผวนได้ 3 วิธี
1. การลงทุนระยะยาว หมายความว่าถ้าขยายเวลาให้ยาวขึ้นจะลดความเสี่ยงลง ตามสถิติตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ปี 2518-2560 ถ้าลงทุนในปีที่ใช่เพียงปีเดียวผลตอบแทนมากถึง 129% ในทางกลับกันถ้าปีนั้นเป็นปีที่ไม่ใช่จะมีโอกาสขาดทุนสูงถึง 49% หากขยายระยะเวลาลงทุนยาวขึ้นโอกาสในการขาดทุนจะลดลง หากลงทุนยาวพอถึง 25 ปีโอกาสขาดทุนจะเป็น 0%
2. กระจายพอร์ตการลงทุน คือกระจายการลงทุนหลักทรัพย์ที่แตกต่างกัน เช่น ตราสารหนี้ หุ้น เนื่องจากสภาวะตลาดจะส่งผลต่อหลักทรัพย์ต่างกัน เช่น ถ้าลงทุนทั้งหมดแล้วในปีนั้นหุ้นลง พอร์ตการลงทุน จะมีโอกาสติดลบสูง แต่ถ้าหากมีการกระจายการลงทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ในปีที่หุ้นลงจะยังได้กำไร
3. เฉลี่ยเงินลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average) แทนที่จะใช้เงินทั้งก้อนจับจังหวะในการลงทุน แบ่งเงินออกแล้วกระจายระยะเวลาในการลงทุนหุ้นเป็นรายเดือน แม้จะไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกที่สุด แต่จะได้หุ้นในราคาเฉลี่ยที่เหมาะสมโดยไม่ต้องเฝ้าติดตามราคา
5 คำถามชวนคิด เตรียมสร้างชีวิตเกษียณสุข
- ปัจจุบันอายุเท่าไหร่
- จะทำงานไปจนถึงอายุเท่าไหร่ ทำให้รู้ว่าจะเหลือเงลาเก็บเงินกี่ปี
- หลังเกษียณอยากใช้เงินเดือนละเท่าไหร่ (15,000)
- อยากใช้เงินหลังเกษียณไปอีกกี่ปี (คาดได้จากค่าเฉลี่ยของไทยหรือประวัติครอบครัว)
- เงินออมจากแหล่งต่างๆ แล้วตอนนี้มีเงินเท่าไหร่
"การลงทุนไม่มีวันหมดอายุ เงินยังคงทำงานต่อไปแม้จะเกษียณอายุ โดยความท้าทายสำคัญของคนที่เกษียณแล้ว คือใช้เงินตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนคนที่ยังไม่เกษียณต้องอาศัยเคล็ดลับความสำเร็จ คือมีความรู้ มีวินัย กระจายการลงทุน และเริ่มลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้ เพราะถ้าวางแผนแล้วไม่เริ่มต้นจะไม่มีวันสำเร็จ" นางสาวอุมาพันธุ์ กล่าว