โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

รุ่นใหญ่ไฟ(ยัง)แรง! ลงทุน 7 แสน ทำธุรกิจบนรถฟู้ดทรัก แบบไม่กลัวเจ๊ง

เส้นทางเศรษฐี

อัพเดต 18 มิ.ย. 2566 เวลา 02.32 น. • เผยแพร่ 09 ธ.ค. 2562 เวลา 11.44 น.
384D66B1-51CF-4235-9FF3-8622656CF0E8

รุ่นใหญ่ไฟ(ยัง)แรง! ลงทุน 7 แสน ทำธุรกิจบนรถฟู้ดทรัก แบบไม่กลัวเจ๊ง

แม้ชีวิตจะก้าวสู่“วัยเกษียณ” มานานหลายปีแล้ว แต่ชีวิตไม่เคยหยุดนิ่ง สองมือยังคงทำงานด้วยความขยันขันแข็งไม่เหน็ดเหนื่อย ถึงจะอายุมากแล้วแต่ยังสร้างโอกาสให้กับตัวเอง จากคำพูดที่ว่า “โอกาสก็เหมือนไอศกรีม ถ้าไม่รีบกินจะละลาย”

ลุงจิม-อารัติ วินิจฉัยกุล ในวัย 69 ปี ถึงจะอายุมากแล้ว แต่ยังสร้างโอกาสให้ตัวเอง ชวนคู่ชีวิตคุณสุชาดา วินิจฉัยกุล วัย 66 ปี มาสร้างธุรกิจหลังวัยเกษียณร่วม 2 ปี“uncle jim soft serve & sausages” ขายไส้กรอกเยอรมัน และไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟบนรถฟู้ดทรัก โดยไม่กลัวคำว่า “เจ๊ง”

ในอดีตนั้น ลุงจิม เคยทำงานเป็นสมุห์บัญชีบริษัท นาน 6 ปี กระทั่งออกมาทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งขายรถมือสอง ทำเบาะรถยนต์ ร้านเกม หรือแม้แต่ร้านอาหารก็ทำมาแล้ว แต่เมื่ออายุมากขึ้นทำให้เขาต้องหยุดทำกิจการทุกอย่าง

“ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีค่า เพราะไม่ได้ทำงานอะไร มีญาติทำโรงงานไส้กรอกเยอรมันอยู่แล้ว เลยคุยกับลูกชายว่าจะเอามาปิ้งขาย พ่วงด้วยไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ”

ลุงจิมในวัย 69 ปี เริ่มต้นธุรกิจ ด้วยการใช้เงินทุนของตัวเองจำนวนไม่น้อย หารถฟู้ดทรักจากพวกพ้องครั้งทำธุรกิจขายรถมือสองได้ในราคาไม่สูงมาก คันละแสนปลายๆ นำมาตกแต่งใหม่เป็นร้านขายไส้กรอกเยอรมันเบ็ดเสร็จแล้วประมาณสามแสนบาท ส่วนรถขายไอศกรีมราคาสูงกว่าอยู่ที่สี่แสนบาท

รวมๆ แล้วลงทุนไปมากถึง 700,000 บาท ลุงจิมบอกว่าไม่เคยกลัวคำว่าเจ๊ง ขายไม่ได้ก็ขายรถกลับไป อาจจะขาดทุนบ้างนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร

จากลงทุนสู่การหาที่ทางจอดขาย ไม่นานก็ได้ที่แถวราชพฤกษ์ จอดขายนานครึ่งปี จนรู้จักคนมากมาย มีคอนเน็กชั่นเข้าสู่สมาคมฟู้ดทรัก ระหว่างนั้นก็มีงานเปิดให้จอดขายหลายที่ แต่ลุงจิมบอกว่า ต้องเลือกสถานที่ขาย

“ผมเลือกที่ขาย เพราะไส้กรอกเยอรมันของเราเกรดพรีเมี่ยม จะขายตลาดนัดคงไม่ได้ ต้องขายในสถานที่ที่มีกำลังซื้อ จนสุดท้ายมาขายที่เดอะไบรท์ พระราม 2 ได้ปีกว่า ถ้าไม่มีงานนอกจะจอดขายที่นี่ประจำ แม้จะดูเงียบ แต่กำลังซื้อดีมากวันละหลายพันบาท” ลุงจิม ว่าอย่างนั้น

สำหรับไส้กรอกเยอรมันของลุงจิมและป้าสุชาดามีให้เลือกหลายชนิด ทั้ง ไส้กรอกหมูกระเทียม ไส้กรอกหมูพริกไทยสด ไส้กรอกหมูรมควัน ไส้กรอกหมูชีส และไส้กรอกซูริก (หมูผสมไวน์) ทั้งหมดนี้ไม่ใส่สารกันบูด ไม่มีสารเคมีใดๆ ใครมากินเป็นต้องบอกต่อ

ส่วนไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ นั้นขายดีไม่แพ้กัน เลือกจากแบรนด์คุณภาพ อร่อยไม่แพ้ไส้กรอกเยอรมัน โดยรสชาติที่ขายหลักๆ คือ ช็อกโกแลต กับวานิลลา

“บางคนไม่รู้จักไม่กล้าซื้อ แต่ถ้าคนรู้จักจะชอบ ซอสทำเองอร่อยลงตัวพอดี บางคนกินแล้ว ซื้อกลับบ้านบอกเพื่อนฝูง ได้ลูกค้าใหม่ ส่วนลูกค้าเก่าก็แวะมาซื้อประจำ บางครั้งยังมาไม่ถึงลูกค้าโทรตามแล้ว ขายได้ทุกวันไม่ขาด” ลุงจิม เล่าด้วยรอยยิ้ม

ในแต่ละวันที่ออกขาย ลุงจิมจะรับหน้าที่ขับรถฟู้ดทรักไส้กรอกเยอรมันมาจอดขายที่เดอะไบร์ท พระราม 2 จากนั้นจะรีบไปขับรถไอศกรีมที่จอดทิ้งไว้ที่เดอะไบร์ท พระราม 2 ออกมา โดยคุณป้าสุชาดาจะเป็นคนดูแลความเรียบร้อย จัดของหน้าร้านให้เข้าที่เข้าทางด้วยความคล่องตัว

“ที่แข็งแรงแบบนี้ เพราะดูแลสุขภาพ ทานอาหารที่มีประโยชน์ที่ภรรยาเป็นคนทำ ไม่ใส่ผงชูรส พักผ่อนให้เพียงพอ ทำงานบ้างไม่ให้สมองตื้อ ที่สำคัญ คือ ดื่มน้ำ วิธีการดูแลตัวเองทั้งหมดนี้มีต้นแบบมาจากคุณแม่อายุ 102 ปี” ลุงจิม บอกถึงเคล็ดลับ

แต่ใครจะรู้แม้จะขายมา 2 ปี แล้ว แต่ลุงจิมและภรรยาเคยถูกลูกๆ ห้ามไม่ให้ขายของเหมือนกัน

“ช่วงแรกลูกๆ ไม่เห็นด้วย เขาบอกพ่อแม่แก่แล้ว จะทำไปทำไม เงินที่มีอยู่ใช้ได้เป็นสิบๆ ปี อยากให้เรานั่งดูทีวี นั่งก็โอย ลุกก็โอย ในเมื่อเรามีโอกาสพร้อมทำธุรกิจ ก็ออกมาทำ ให้ร่างกายตื่นตัว ได้พบผู้คน ได้สนุกกับงานที่ทำ เงินที่มีอยู่ไม่ร่อยหรอแต่เพิ่มขึ้น”

สุดท้ายลูกก็เข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่พ่อทำ “จากที่ห้าม จนวันหนึ่งลูกมาแอบดูเราขายของ เห็นรถไส้กรอก รถไอศกรีม คนมาอุดหนุนเต็มเลย ลูกถลกแขนเสื้อวิ่งมาช่วยทันที เขาเข้าใจตั้งแต่ตอนนั้นว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงอยากขายของ จากนั้นเขาก็คอยเป็นห่วงเราตลอด วันไหนกลับดึกจะโทรมาบอกวันต่อไปอย่ากลับดึกแบบนี้นะ พ่ออายุเยอะแล้วเป็นห่วง เขาคอยดูแลเราตลอด” ลุงจิม เล่าด้วยความปลื้มใจ

ส่วนคุณสุชาดาภรรยาคู่คิด บอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า ชีวิตนี้สนุกมากจริงๆ ไม่คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเหนื่อย แม้ลูกๆ จะห้าม แต่ในใจเขารู้ว่าพ่อกับแม่อยู่นิ่งไม่ได้ วันไหนบอกลูกขายดี ลูกจะเป็นห่วงเพราะขายดีแสดงว่ายังไม่ได้ทานข้าว

ถามต่อว่า เคยท้อบ้างมั้ย ลุงจิม บอกว่า คำว่าท้อไม่เคยมี ถ้าท้อแสดงว่าไม่อยากทำแล้ว

“ผมและภรรยายังสนุกที่ได้ทำตรงนี้ แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อย แค่พักให้พอ มีแรงแล้วค่อยกลับมาทำใหม่ เราจะหยุดเมื่อทำไม่ไหว อาจจะไปทำอย่างอื่น เช่น ทำสวนที่บ้าน คนเราอย่าอยู่นิ่ง ต้องพยายามสร้างโอกาสให้ตัวเอง เพราะโอกาสก็เหมือนไอศกรีมไม่รีบกินก็ละลาย เมื่อมีแล้วให้ทำทันที สู้ไปตราบที่ยังมีลมหายใจ” ลุงจิม ทิ้งท้าย

สำหรับใครที่อยากไปอุดหนุนลุงจิม และป้าสุชาดา สามารถแวะไปได้ที่เดอะไบร์ท พระราม 2 เป็นจุดขายประจำ ตั้งแต่บ่ายเป็นต้นไป

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0