เกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วง กับตำรวจปราบจลาจลในฮ่องกงวันนี้ (24 ส.ค.) ระหว่างการชุมนุมประท้วงเป็นสัปดาห์ที่ 12 ที่ผู้ประท้วงต่อต้านคณะเจ้าหน้าที่บริหารเกาะฮ่องกง กลับมาใช้วิธีเผชิญหน้ากับตำรวจอีกครั้ง หลังจากที่ชุมนุมโดยสงบมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การชุมนุมในวันนี้ กลุ่มผู้ประท้วงหันมาใช้วิธีการที่แข็งกร้าวมากขึ้น ด้วยการปิดกั้นถนน ปิดล้อมสถานีตำรวจ และโค่นล้มเสาติดกล้องวงจรปิดลงมาอย่างน้อย 1 ต้น โดยอ้างว่า เจ้าหน้าที่อาจใช้กล้องเหล่านี้เพื่อสอดแนมพวกเขา และเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว
“ถ้าพวกเขาเอาแต่ติดตามจับตามองพวกเรา ก็ไม่มีอะไรที่ต่างจากจีนเลย และเรายังไม่ใช่จีน” นักศึกษาวัย 20 ปีรายหนึ่งบอก
การชุมนุมที่เริ่มขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้ มีจุดสำคัญอยู่ที่เขตกวนตง ซึ่งผู้ประท้วงพากันสวมหมวกกันน็อค ใส่หน้ากาก และติดตั้งเครื่องกีดขวาง ต่อมาในเวลาประมาณ 16.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตำรวจฮ่องกง ได้ชูป้ายที่เขียนข้อความว่า “หยุดโจมตี ไม่อย่างนั้นเราจะใช้กำลัง”
อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นไม่นานนัก มีการขว้างขวดแก้วลงมาตกใกล้กับที่ตำรวจชุมนุมอยู่ และเพียงไม่กี่นาทีต่อมา กำลังตำรวจก็ได้บุกเข้าประชิดกลุ่มผู้ชุมนุม ผลักดันให้ออกห่างจากสถานีตำรวจหงอเต๋าก๊ก ตามด้วยการชูป้ายเขียนข้อความเตือนถึงการใช้แก๊สน้ำตา
เหตุประท้วงในวันนี้ เกิดขึ้นหลังจากการเดินขบวนครั้งใหญ่อย่างสงบเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว และเกิดขึ้นหลังจากที่นางแคร์รี หลำ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารเกาะฮ่องกง โพสต์ข้อความบนอินสตาแกรมอย่างเป็นทางการของเธอช่วงเช้าวันนี้ว่า ทุกคนต่างเหนื่อยล้ากับการประท้วงที่ยืดเยื้อมาเป็นเดือนๆ พร้อมถามว่า “เราจะมานั่งลง และคุยกันเรื่องนี้ไม่ได้หรือ”
นางหลำบอกด้วยว่า คณะบริหารของเธอต้องการที่จะเริ่มต้นการเจรจา ในแบบที่ไม่มีการแบ่งแยกในเรื่องใดทั้งนั้น
ท่าทีของนางหลำยังเกิดขึ้น หลังเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (20 ส.ค.)นางหลำได้บอกต่อผู้สื่อข่าวว่า เธออยากเริ่มต้นกระบวนการเจรจากับประชาชนจากทุกฝ่ายในทันที โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ
