โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

รายได้ค่าธรรมเนียมแบงก์ไตรมาสแรกร่วง6.1%

Money2Know

เผยแพร่ 21 พ.ค. 2562 เวลา 07.57 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
รายได้ค่าธรรมเนียมแบงก์ไตรมาสแรกร่วง6.1%

รายได้ค่าธรรมเนียมแบงก์ลดลงต่อเนื่อง ไตรมาสแรกติดลบ 6.1% จากการยกเว้นค่าธรรมเนียมโอนผ่านออนไลน์ ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและรายได้ที่เป็นรายการพิเศษ รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายการกันสำรองที่ลดลง

นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้อานวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการดาเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 1 ปี 2562 ว่าสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ขยายตัวชะลอลงจากการชำระคืนหนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวดีต่อเนื่องในทุกพอร์ต

คุณภาพสินเชื่อทรงตัวส่วนหนึ่งเป็นผลจากการบริหารคุณภาพพอร์ตสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ด้านกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและรายได้ที่เป็นรายการพิเศษ รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายการกันสำรองที่ลดลง

ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพโดยมีเงินสำรอง เงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับการขยายตัวของสินเชื่อในระยะต่อไปได้

กำไรแบงก์
กำไรแบงก์

สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวชะลอลงจากร้อยละ 6.0 ในไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ร้อยละ 5.6 โดยเป็นการชะลอตัวตามสินเชื่อธุรกิจจากการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้บางรายในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ที่หันไประดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี สินเชื่ออุปโภคบริโภคยังขยายตัวดีในทุกพอร์ต สอดคล้องกับการบริโภคที่ขยายตัวดี และเป็นผลจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดสินเชื่อรายย่อย รวมทั้งมีการเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยก่อนมาตรการ Loan To Value (LTV) มีผลบังคับใช้

สินเชื่อธุรกิจ (ร้อยละ 65.3 ของสินเชื่อรวม) ขยายตัวร้อยละ 3.4 โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่(ไม่รวมธุรกิจการเงิน) ขยายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 4.1 ในไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ร้อยละ 4.4 ซึ่งเป็น การขยายให้สินเชื่อในธุรกิจสาธารณูปโภคอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง ขณะที่มีการทยอยชาระคืนหนี้ของ ลูกหนี้ในธุรกิจบริการ สินเชื่อธุรกิจ SME (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) ขยายตัวชะลอลงจากร้อยละ 4.5 ในไตรมาสก่อน มาอยู่ร้อยละ 1.5 จากการชาระคืนหนี้ของลูกหนี้ที่ใช้วงเงินสินเชื่อสูงบางรายในภาคอุตสาหกรรมการผลิต เครื่องดื่ม อย่างไรก็ดี สินเชื่อยังขยายตัวดีในธุรกิจสาธารณูปโภคหมวดการผลิตไฟฟ้า อสังหาริมทรัพย์ และ ก่อสร้างส่วนใหญ่จากSMEที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่

สินเชื่ออุปโภคบริโภค (ร้อยละ 34.7 ของสินเชื่อรวม) ขยายตัวสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 10.1 โดยเป็น การขยายตัวสูงในทุกพอร์ต โดยหลักจาก (1) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ยังคงขยายตัวสูงขึ้นจากการเร่งปล่อย สินเชื่อต่อเนื่องมาจากไตรมาสที่แล้ว ก่อนมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2562 (2) สินเชื่อรถยนต์ ที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ และ (3) สินเชื่อส่วนบุคคลทุกประเภท ทั้งที่มีหลักประกัน อาทิ สินเชื่อบ้านแลกเงินและสินเชื่อรถแลกเงิน และสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน

คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 2.94 ทรงตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยยอดคงค้าง NPL อยู่ที่ 454 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 10 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับโครงสร้างหนี้ การตัดหนี้สูญ และขายหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูง

สำหรับสัดส่วน สินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention: SM) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.42 ในไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ร้อยละ 2.56 จากสินเชื่อธุรกิจ SME เป็นสำคัญ ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 685 พันล้าน บาท โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 15.8 พันล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนเงินสำรองที่มีต่อเงินสำรอง พึงกันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 195.0

ในไตรมาส 1 ปี 2562 ระบบธนาคารพาณิชย์มีกาไรสุทธิ 57.1 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 13.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของสินเชื่อ และรายได้ที่เป็นรายการพิเศษ รวมทั้งค่าใช้จ่ายกันสำรองที่ลดลง แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะหดตัวต่อเนื่อง และค่าใช้จ่าย พนักงานจะสูงขึ้นจากการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานตามกฎหมายแรงงานใหม่ ทาให้อัตราผลตอบแทน ต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Asset : ROA) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.05 ในไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ร้อยละ 1.20 ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin : NIM)ทรงตัวที่ร้อยละ 2.82

ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2,567 พันล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 2 พันล้านบาท โดยเป็นผลจากการจ่ายเงินปันผลจากกาไรสะสมของธนาคารพาณิชย์บางแห่ง ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Common Equity Tier 1 : CET1 ratio) ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 18.2 และ 15.7 ตามลำดับ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0