รอยเตอร์ - เครมลินในวันพฤหัสบดี(21มี.ค.) โวยวายว่าสหรัฐฯฝูงบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ B-52 ที่มีศักยภาพติดหัวรบนิวเคลียร์์ บินข้ามทะเลบอลติก มาเฉียดใกล้ชายแดนของรัสเซีย โหมกระพือความตึงเครียด แต่ทางวอชิงตันตอบโต้ว่ามันมีความจำเป็นเพื่อป้องปรามฝ่ายศัตรู
กระทรวงกลาโหมรัสเซ๊ยระบุในวันพฤหัสบดี(21มี.ค.) ว่าพวกเขาต้องส่งเครื่องบินขับไล่ซูคอย ซู-27 จำนวน 2 ลำ ขึ้นสกัดเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ B-52 ลำหนึ่งของสหรัฐฯ หลังระบบเรดาร์บ่งชี้ว่ามันกำลังมุ่งหน้าสู่พรมแดนของรัสเซีย ถึงแม้อยู่ในระยะไกลมากก็ตาม
คำแถลงของกระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่าฝูงบินของพวกเขาได้บินกลับฐานทัพ หลังจาก B-52 เปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปในทิศทางตรงกันข้าม อย่างไรก็ตามทางกระทรวงกลาโหมรัสเซียไม่ได้บอกว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่
ด้าน ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของเครมลินเปิดเผยกับพวกผู้สื่อข่าวว่า "โดยทั่วไปแล้ว ตัวผมเองไม่ค่อยอยากพูดถึงพฤติกรรมลักษณะดังกล่าวของสหรัฐฯ เพราะไม่อยากให้มันนำไปสู่ความตึงเครียดของบรรยากาศด้านเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคที่มีชายแดนติดกับรัสเซีย" เขากล่าว "ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับก่อความตึงเครียดยิ่งขึ้น"
ข้อเท็จจริงคือความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและนาโต้โหมกระพือขึ้นมาตั้งแต่มอสโกผนวกไครเมียของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน และสนับสนุนพวกแบ่งแยกดินแดนฝักใฝ่รัสเซียทางภาคตะวันออกของยูเครน
รัสเซียกล่าวหาพันธมิตรตะวันตกกว่าเสริมกำลังทหารใกล้ชายแดนของพวกเขาอย่างไม่ชอบธรรม แต่ทางนาโต้ก็ตอบโต้กลับ ด้วยการประณามความเคลื่อนไหวของรัสเซียที่เสริมกำลังของตนเองในไครเมียและตามแถบทะเลดำ
สถานทูตสหรัฐฯในโปแลนด์ระบุว่าเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ได้บินไปยังลิทัวเนียและโปแลนด์เมื่อวันพุธ(20มี.ค.) เพื่อทำการซ้อมรบร่วมกับกองกำลังนาโต้
สื่อมวลชนรัสเซียรายงานว่าเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ถูกพบเห็นใกล้ชายแดนวงล้อมคาลินินกราดในยุโรปของรัสเซีย และแคว้นเลนินการ์ดเมื่อวันจันทร์(18มี.ค.) โดยสำนักข่าวอาร์บีซี ระบุว่า ณ จุดหนึ่ง เครื่องบินของสหรัฐฯ ซึ่งบินมาจากอังกฤษ อยู่ห่างจากเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์กไม่ถึง 200 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังพบเห็น B-52 อีกลำในภูมิภาคบอลติกเมื่อวันที่ 16 มีนาคม