*ข่าวสำคัญสำหรับการบริหารจัดการเมืองในเดือนที่ผ่านมาคือ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2562 มหานครลอนดอน สหราชอาณาจักร บังคับใช้มาตรการ Ultra Low Emissions Zone (Ulez) หรือเขตมลภาวะต่ำยิ่งยวด ในพื้นที่ด้านในสุดของศูนย์กลางเมืองลอนดอน ที่มีหน่วยธุรกิจและประชากรกระจุกตัวอยู่หนาแน่นมาก *
มีการจราจรติดขัดและมีการเกิดมลภาวะทางอากาศจากเครื่องยนต์ของรถยนต์ต่างๆ ที่สัญจรอยู่บนท้องถนน มหานครลอนดอนมีเป้าหมายจะจำกัดการเข้าพื้นที่ของรถมลภาวะสูง ได้แก่ รถยนต์เครื่องเบนซินที่ผลิตก่อนปี 2006 จะถูกเก็บค่าเข้าเขตพิเศษ Ulez ในอัตรา 12.50 ปอนด์สเตอร์ลิงต่อวัน (ประมาณ 520 บาท)
ส่วนรถเครื่องยนต์ดีเซลทั้งหลาย รถบรรทุกและรถประจำทางของเอกชน (ไม่ว่าจะใช้เครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซินก็ตาม) ที่ผลิตก่อนปี 2015 จะต้องเสียค่าเข้าเขตพิเศษ Ulez ในอัตรา 100 ปอนด์สเตอร์ลิงต่อวัน (ประมาณ 4,150 บาท) ยังไม่จบเท่านั้น เพราะรถทุกคันที่เข้ามาในเขตดังกล่าว ต้องเสียค่าเข้าเขตการจราจรติดขัดซึ่งเป็นมาตรการที่มีมาตั้งแต่ปี 2003 แล้ว ในอัตราคันละ 11.50 ปอนด์สเตอร์ลิงต่อวัน (ประมาณ 480 บาท) เพิ่มเข้าไปอีกด้วย แปลว่ารถยนต์เก่าทั้งหลายถ้าจะเข้ามาในเขตนี้ต้องเสียค่าเข้าวันละประมาณ 1,000 บาทกันเลยทีเดียว
หน่วยงานที่ดูแลเรื่องการจราจรในมหานครลอนดอน Transport for London คาดการณ์ว่า รถที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการเขตพิเศษ Ulez จะส่งผลกระทบต่อรถยนต์ 40,000 คัน รถตู้ 19,000 คัน รถบรรทุก 2,000 คัน และรถประจำทางเอกชน 700 คัน ทำรายได้ให้กับเมืองถึง 220 ล้านปอนด์สเตอร์ลิงต่อปี (ประมาณ 9,150 ล้านบาท) และจะช่วยลดมลภาวะทางอากาศในพื้นที่เขตพิเศษได้ประมาณ 15%
และในภาพรวมของทั้งมหานครลอนดอนจะลดมลภาวะทางอากาศได้ 4% โดยมีแผนที่จะขยายขอบเขตพิเศษไปให้ครอบคลุมมหานครลอนดอนทั้งหมดในปี 2021 ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ที่มีประชากรถึง 3.8 ล้านคน รวมถึงย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย ที่โดยปกติแล้วจะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของ Ulez ไม่ใช่การเพิ่มรายได้ให้กับเมือง เพราะเมืองต้องลงทุนในด้านการตรวจสอบและจัดเก็บค่าธรรมเนียมอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่สามารถอ่านป้ายทะเบียนรถเข้าออกจากเขตพิเศษได้ การจัดระบบการเก็บค่าธรรมเนียม การออกใบสั่งและติดตามค่าปรับสำหรับคนที่ไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียม และค่าดำเนินการอื่นๆ อีกมากมา
แต่เป้าหมายหลักคือ การลดมลภาวะทางอากาศ ลดการเจ็บป่วยและค่าใช้จ่ายทางการแพทย์อันเกิดจากมลภาวะทางอากาศ ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนดีขึ้น โดยใช้มาตรการทางการเงินผ่านการจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อลดความสะดวกสบายในการใช้รถยนต์ส่วนตัว และเพิ่มต้นทุนในการเข้ามาในเขตพิเศษ ซึ่งมหานครอื่นๆ กำลังจับตามองผลการใช้มาตรการ Ulez อย่างใกล้ชิด โดยหวังว่าถ้าลอนดอนสามารถทำได้สำเร็จก็จะนำมาประยุกต์ใช้กับเมืองของตนเองบ้าง
หันมามองบ้านเรากันบ้าง เราก็มีแนวทางในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการขับรถยนต์ส่วนตัวเข้าพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครเช่นกัน โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ได้ทำการศึกษาแนวทางการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว คาดว่าจะใช้พื้นที่อโศกและสุขุมวิทเป็นพื้นที่นำร่องในการศึกษา ใช้กล้องวงจรปิดบันทึกป้ายทะเบียนของรถยนต์ที่เข้าออก แล้วจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไปให้เจ้าของรถทุกเดือน แต่จะยกเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมจากรถขนส่งสาธารณะ
แต่มาตรการที่ สนข.เสนอ มีเป้าหมายหลักเพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดในเขตเมืองและจูงใจให้ประชาชนหันมาเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น ไม่ได้มีการกล่าวถึงการลดมลภาวะทางอากาศจากรถยนต์แต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้กล่าวถึงระดับการปล่อยมลภาวะของรถแต่ละประเภทเข้ามาประกอบในการออกมาตรการ เป็นการสะท้อนว่า หน่วยงานรัฐไทยยังสนใจแต่เรื่องการเดินทางให้คล่องตัว แก้ปัญหาจราจรเป็นลำดับแรก ส่วนคุณภาพอากาศยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่ประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเดินทางด้วยยานพาหนะอะไรก็ตาม ก็ต้องสูดอากาศเข้าสู่ร่างกายกันทั้งสิ้น
ชาว กทม. และปริมณฑลก็ยังต้องรับมลภาวะทางอากาศต่อไปจนกว่ารถจะหายติด เราจึงจะได้อานิสงส์ว่าอากาศจะดีขึ้นเป็นผลพลอยได้ตามมาเอง