ภาพจาก หนังสือ รัฐบุรุษชื่อเปรม
พล.อ.เปรม ติณสูลานท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวม 8 ปี 5 เดือน ในช่วงที่การเมืองไทยยังเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ คือ แม้จะมีการเลือกตั้งแต่ยังต้องพึ่งพานายกรัฐมนตรีคนนอก
ก่อนการยุบสภาครั้งสุดท้าย 29 เม.ย.2531 รัฐบาลได้รับความกดดันหนัก ด้านหนึ่งคือฝ่ายค้านเตรียมจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ อีกด้านมาจากปัญหาภายในของหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่เกิดความขัดแย้งภายในอย่างหนัก ระหว่างกลุ่มของหัวหน้าพรรค พิชัย รัตตกุล กับอดีตเลขาธิการพรรค วีระ มุสิกพงศ์ ทั้งเรื่องของการตัดสินใจใช้เงินพรรคและโควต้ารัฐมนตรี จนเกิด"กลุ่ม 10 มกรา" ซึ่งเป็นตำนานความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่สุดในพรรค
ชื่อกลุ่มมาจากการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ระหว่าง พิชัย รัตตกุล กับ เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 10 ม.ค. 2530 ซึ่ง พิชัย ยังคงชนะ ส่วนฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็ยังอยู่ร่วมพรรคต่อไปด้วยความอึดอัด
ในขณะนั้นรัฐบาลกำลังผลักดันกฎหมายสำคัญ คือ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ แต่มีสัญญาณจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า "กลุ่ม 10 มกรา" จะโหวตสวนมติของรัฐบาล
พล.อ.เปรม และแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ภาพจาก หนังสือ รัฐบุรุษชื่อเปรม
พล.อ.เปรม ได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการตั้งวิปรัฐบาลเพิ่มเพื่อให้มีการประสานงานให้ราบรื่น ใน 4 พรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม และพรรคราษฎร
ที่สุดแล้วในวันพิจารณาพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ในที่ประชุมสภาที่มี นายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการอภิปรายสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 2 กลุ่ม พูดเสียดสีกัน และหัวเราเยาะกันเอง
สุดท้ายในการลงมติ ส.ส.ประชาธิปัตย์ "กลุ่ม 10 มกรา" รวม 32 คนก็ยกมือค้านร่วมกับฝ่ายค้านจริงๆ
แม้ผลการลงมติกฎหมายจะยังผ่านด้วยคะแนน 183-134 เสียง แต่รัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ 16 คนรับผิดชอบด้วยการยื่นใบลาออกต่อ พล.อ.เปรม เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2531
ภาพจาก หนังสือ รัฐบุรุษชื่อเปรม
ส่วน พล.อ.เปรม ก็ตัดสินใจยุบสภาในวันเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่ระบุในพระราชกฤษฎีกา ตอนหนึ่งว่า "สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคการเมืองยังไม่ยอมรับรู้ความคิดเห็นหรือมติของสมาชิกฝ่ายข้างมากในพรรคของตน อันเป็นการขัดต่อวิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และก่อให้เกิดปัญหาอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดินและการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก"
วีระ มุกสิกพงษ์ แกนนำกลุ่ม 10 มกรา ชี้แจงในเวลาต่อมาว่า ทางกลุ่มค้านเพราะเข้าใจเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์เป็นอย่างดี เห็นว่าเร็วเกินไป เมืองไทยยังเตรียมตัวไม่พร้อม แต่รัฐบาลพยายามทำตามสหรัฐอเมริกาที่กดดันให้ออกกฎหมายให้เร็ว จึงต้องโหวตคัดค้าน ซึ่ง พล.อ.เปรมก็เคยเรียกไปถาม ก็ได้ชี้แจงไปก่อนแล้วว่าจะไม่โหวตให้ ซึ่งท่านก็รู้
หลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไป 24 ก.ค.2531 พรรคร่วมรัฐบาล 4 พรรคเดิมรวมเสียงได้ 210 เสียง จาก ส.ส.ทั้งหมด 357 เสียง ต่อมารวมกับพรรคสหประชาธิปไตยอีก 1 พรรค เป็น 5 พรรค
พล.อ.เปรม กับ พล.ต.ชาติชาย ซึ่งจะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ภาพจาก หนังสือ รัฐบุรุษชื่อเปรม
หัวหน้าพรรคทั้งหมดเดินทางเข้าพบ พล.อ.เปรม ในวันที่ 27 ก.ค. พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวเชิญ พล.อ.เปรม ให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
"พูดในนามพรรคชาติไทยหรือ" พล.อ.เปรมถามกลับ
พล.ต.ชาติชาย ชี้แจงว่าพูดในนามพรรคร่วมทุกพรรคที่มาวันนี้เพื่อเชิญท่านเป็นนนายกรัฐมนตรี
คำตอบกลับจาก พล.อ.เปรม คือ "ขอขอบคุณ" "ผมขอพอ" "ขอให้ช่วยประคับคองประชาธิปไตยกันต่อไปด้วย"
เป็นคำตอบที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะได้รับ แม้จะได้รับการอ้อนวอน แต่ พล.อ.เปรม ก็ปฏิเสธด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
พล.อ.เปรม เตรียมตัวก่อนบันทึกเทปอำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภาพจาก หนังสือ รัฐบุรุษชื่อเปรม
ค่ำวันที่ 5 ส.ค. 2531 พล.อ.เปรม กล่าวคำอำลาประชาชนผ่านทางโทรทัศน์ มีถ้อยความตอนหนึ่งว่า
"โดยส่วนตัวผมเองแล้ว ผมเจียมตัวและเจียมใจเสมอ ไม่เคยมีความทะเยอทะยานทางการเมือง และไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูงที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี"
"การเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นไม่สนุกและเหนื่อย แต่เมื่อต้องเข้ามารับหน้าที่แล้ว ผมก็พร้อมที่จะเหนื่อยและทำงานอย่างเต็มที่ พร้อมที่จะเผชิญปัญหาต่างๆ ทุกอย่างด้วยความกล้าหาญและอดทน"
"การทำงานของรัฐบาลหรือของใครก็ตามย่อมมีสิ่งที่สำคัญสองสิ่งเกิดขึ้นเสมอ คือคำชมเชยกับตำหนิ"
"ผมบอกกับเพื่อนร่วมงานเสมอว่า เราจะต้องไม่ถือเอาคำตำหนินั้นๆ มาทำให้เราเกิดความท้อถอย เหนื่อยหน่าย ไม่อยากทำงาน เพราะไม่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น"
"เราทำทุกวันนี้ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเราเอง แต่เราทำเพื่อแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่และอาศัยเกิดมาเป็นคน เราเป็นหนี้แผ่นดินนี้อยู่"
พล.อ.เปรม ยังได้เล่าถึงวันที่ได้รับการทาบทามให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่า
"ผมได้เรียนหัวหน้าพรรคการเมืองเหล่านั้นไปว่า ผมพอแล้ว เพราะได้ทำงานมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ได้มีโอกาสช่วยดูแลดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย ได้มีส่วนช่วยพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยให้ยืนยาว สืบเนื่องมาตลอดระยะเวลาที่เข้ามาดำรงตำแหน่งหน้าที่"
"จึงขอพอ และขอให้ช่วยกันดูแลและพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของเราให้เจริญก้าวหน้า มั่นคงต่อไป"
ข้อมูลจาก
- รัฐบุรุษชื่อเปรม พิมพ์ครั้งที่ 2 สำนักพิมพ์มติชน
- ฉะแฉฉาว นักการเมืองไทย พิมพ์ครั้งที่ 3 สำนักพิมพ์มติชน