สามเดือนแรกของปีนี้ช่างดุเดือดเลือดสูบฉีดเหลือเกินนะครับ ทั้งการงาน การเงินการเมือง และรวมถึงการมีชีวิตรอดท่ามกลางโรคระบาดในระดับ Pandemic ที่ในชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมา เราก็เพิ่งเคยเจอกันกับไอ้เจ้าไวรัส COVID-19 กันนี่แหละ
เราได้เห็นตัวอย่างและอุทาหรณ์ที่แตกต่างกันมากมายระหว่างประเทศที่บริหารจัดการดีอย่างน่าทึ่ง เช่น จีน กับประเทศที่ความประมาทนำพาหายนะมาสู่อย่างไม่น่าเชื่อเช่นอิตาลี เป็นต้น ทั้งนี้คิดว่าจะขอเว้นไม่พูดถึงไทยแลนด์แดนสนธยาของเราก็แล้วกันเดี๋ยวจะพาลอารมณ์เสียของขึ้นไปกันใหญ่ไม่จบไม่สิ้น
“อั๋น..จับตัวจ๋าหน่อยสิว่าร้อนไหม จ๋าว่าจ๋าต้องไม่สบายแน่ๆ เลย” ภรรยาผมพูดกับผมแบบนี้เกือบทุกวันตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา และไปหาหมอที่โรงพยาบาลบ่อยมากเพราะคิดว่าตัวเองป่วยตลอดเวลาจนหมองง พร้อมทั้งเตือนแกมบังคับให้ผมและทุกคนรอบตัวระมัดระวังอย่างหนักหน่วง จนผมเริ่มจะห่วงแล้วว่าคุณเมียผมนั้นวิตกจริตเกินเหตุ หรือผมเองที่ประมาทเกินไปกันแน่ แล้วแค่ไหนกันนะที่เรียกว่าพอดี
ชีวิตมักมีทางแยกที่ไม่พอดีแบบนี้มาให้เราสับสนกันอยู่เสมอ มันทำให้ผมคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยอ่านเมื่อนานมาแล้วชื่อว่า
The Black Swan หรือทฤษฎี “หงส์ดำ” ของนักเขียนชื่อ Nassim Nicholas Taleb เค้าพูดถึงแนวคิดว่าโลกก่อนหน้านี้เชื่อว่าหงส์ทุกตัวเป็นสีขาว แต่แล้วอยู่ดีๆ วันนึงก็มีบางคนบอกว่าไม่จริงหรอก โลกนี้มีหงส์สีดำอยู่ด้วยแต่ไม่มีใครเชื่อเลย ซ้ำยังหัวเราะเยาะด้วยซ้ำว่าเพ้อเจ้อพูดจาไม่จริงจนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนไปพบว่าโลกใบนี้มีหงส์สีดำอยู่จริงที่ทวีปออสเตรเลีย สรุปง่ายๆก็คือทฤษฎี Black Swan นี้พูดถึง 3 หลักเกณฑ์ของสิ่งใดๆที่เข้าข่ายการเป็นหงส์ดำนั้นคือ
- 1.เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นจริงได้
- 2. แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลกระทบอย่างมากมายมหาศาล
- 3.เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจึงจะมีคำอธิบายตามมามากมายว่ามันคืออะไร
ถ้าจะยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ชัดๆ หน่อย ก็ขอให้นึกถึงเหตุสึนามิถล่มประเทศไทยนั่นแหละ ถามจริงๆ ก่อนหน้านั้นเราแทบจะไม่รู้จักมันเลย แล้วต่อให้มีใครมาเล่าให้เราฟัง เราก็คงจะขำและคิดว่าคนคนนั้นน่าจะดูหนังแอ๊คชั่นมากเกินไปเป็นแน่ จนกระทั่งมันเกิดขึ้นจริง ถัดมาในชีวิตที่ผมเองได้พบเจอว่าน่าจะเข้าข่ายเป็นหงส์ดำก็คงไอ้เจ้าไวรัสโควิด-19 ตัวนี้นี่แหละ สารภาพตามตรงว่าตอนอ่านเจอครั้งแรกยังแอบคิดในใจเลยว่าทำไมถึงมีคนคิดทฤษฎีอะไรที่มันมองโลกในแง่ร้าย เหมือนสอนให้คนระแวงได้ขนาดนี้
ต่างกับหนังสืออีกเล่มที่ผมอ่านเรื่อง “ย่อภูเขาให้เท่าจอมปลวก” ของคุณหญิงจำนงศรีหาญเจนลักษณ์ ที่สอนทักษะการมองเรื่องใหญ่ๆให้มันเล็กลง โดยมองเรื่องใกล้ๆ ตัวให้ไกลออกไปจากเพียงแค่การติดอยู่ในโลกใบแคบๆ ของตัวเราเองเท่านั้น
เพราะระยะห่างมีผลกับการมองปัญหา ยิ่งใกล้ตัวยิ่งดูใหญ่ ยิ่งใกล้ใจยิ่งรู้สึกเจ็บ เรื่องใดเกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนใกล้ตัวก็มักจะดูหนักหนาเกินจริง เมื่อเทียบกับเรื่องเดียวกันที่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ คิดง่ายๆดูสิว่าเราไม่เห็นจะรู้สึกเดือดร้อนอะไรกับการล้มละลายของมหาเศรษฐีชาวจีนที่เราไม่รู้จักสักนิด แต่ถ้าเป็นเรื่องของตัวเราเองหรือคนใกล้ชิดต่อให้ขาดทุนเสียหายไปไม่เท่าไหร่ แต่เราย่อมรู้สึกเสียใจเดือดร้อนใหญ่หลวงกว่ามากนัก เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เมื่อไหร่ที่มีปัญหา ก็แค่ลองใช้วิธี “ถอยห่าง” ออกมาพิจารณาปัญหาให้เหมือนกับการมองภาพเขียน มองความสูญเสียนั้นเหมือนกับเป็นเรื่องของคนอื่นที่ห่างตัว เพื่อให้เห็นภาพกว้างและไม่เผลอเอาตัวเองไปยืนข้างๆมากเกินไป ยิ่งถ้าปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยอีกสักนิดชีวิตก็จะยิ่งดี แค่นี้ปัญหาที่เคยใหญ่เท่าภูเขาก็จะลดขนาดลงมาเหลือแค่จอมปลวกได้แล้ว
ชัดเจนว่า ณ เวลานี้ เมียที่เคารพของผมและใครอีกหลายๆคนนั้น น่าจะกำลังเลือกใช้ “ทฤษฎี Black Swan” กันอยู่ ในขณะที่สามีผู้น่ารักอย่างผมกลับกำลังเลือกใช้ “ทฤษฎีย่อภูเขาให้เท่ากับจอมปลวก”
น่าเสียดายที่เราคงไม่สามารถจับ คุณ Nassim มานั่งคุยกับ คุณหญิงจำนงศรี เพื่อหาทฤษฏีใหม่ร่วมกันแบบที่มันจะไม่ขัดแย้งกันขนาดนี้มาให้พวกเราใช้กันได้ง่ายขึ้น โลกใบนี้จึงเต็มไปด้วยความสับสนแตกต่างระหว่างคนที่คิดว่ามากไป กับคนที่คิดว่าน้อยไปอย่างไม่มีวันจะจบสิ้น
แต่รู้ไหมว่าจริงๆแล้วปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่โลกนี้มีคนคิดแบบ Nassim หรือแบบคุณหญิงหรอกครับ แต่ปัญหามันอยู่ที่โลกนี้ดันมีคนใจแคบที่เชื่อแบบ Nassim แล้ว
คิดว่าคนที่คิดแบบคุณหญิงนั้นผิด หรือคนที่เชื่อแบบคุณหญิง แล้วดันปิดใจไปตัดสินว่าคนที่คิดแบบ Nassim นั้นผิดต่างหาก
ผมกับคุณจ๋าก็มีเรื่องมากมายที่คิดต่างกัน เชื่อต่างกัน แต่เราไม่เคยทะเลาะกันในความต่างเหล่านั้นเลย ตรงกันข้าม เรากลับมองว่าการมีคนที่คิดต่างบ้างอยู่ข้างๆ ทำให้มุมมองของเรากว้างขึ้นตั้งเยอะ
เพราะมนุษย์ทุกคนมักมีกรอบความเชื่ออยู่แค่ในวงความรู้ของตนเองอยู่เสมอ
อะไรที่ตนไม่เคยพบเห็นมาก่อน ก็มักเลือกที่จะปฏิเสธสิ่งนั้น ว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้น ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งที่เราคิดไม่ถึง ไม่ได้แปลว่าไม่มี สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิดขึ้น
ภาพตัดมาที่ในห้องนอนของผมตอนนี้ มีผู้หญิงคนนึงกำลังใช้แอลกอฮอล์เช็ดลูกบิดประตูอยู่อย่างมุ่งมั่น ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ผมเองคงไม่ทำ แต่บอกตามตรงว่าลึกๆ มันก็ทำให้อุ่นใจอยู่ไม่น้อย
อีก 1 คืนที่ผมเข้านอนโดยมีมือที่เปียกชุ่มเจลล้างมือของภรรยาเอื้อมมากุมไว้
ไม่มีใครรู้หรอกว่าหลังจากนี้จะมีหงส์ดำอีกกี่ตัวผ่านเข้ามาให้เราต้องกังวลใจอีก และถึงเราจะต้องปิดปากปิดจมูกคุยกัน
แต่เราจะผ่านมันไปด้วยกันได้เสมอในทุกความต่าง
ตราบใดที่เรายังคงคุยกัน ฟังกันโดยไม่ปิดหัวใจ
แม้จะยังหาซื้อหน้ากากอนามัยอันละ 2.50 บาทไม่เจอก็ตาม..
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY