โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ยูโรโพลเร่งล่าคนร้ายเรียกค่าไถ่ทางไซเบอร์

[invalid]

อัพเดต 14 พ.ค. 2560 เวลา 07.36 น. • เผยแพร่ 14 พ.ค. 2560 เวลา 06.36 น. • tnnthailand.com
ยูโรโพลไล่ล่าผู้อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีทางไซเบอร์ด้วยการปล่อยมัลแวร์เรียกค่าไถ่บนคอมพิวเตอร์

ยูโรโพลออกปฏิบัติการไล่ล่าผู้อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีทางไซเบอร์ด้วยการปล่อยมัลแวร์เรียกค่าไถ่บนคอมพิวเตอร์ขององค์กรและประชาชนในพื้นที่กว่า 100 ประเทศทั่วโลก

วันนี้ (14 พ.ค. 60) ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) องค์การตำรวจยุโรปหรือยูโรโพลได้ออกปฏิบัติการไล่ล่าผู้อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีทางไซเบอร์ด้วยการปล่อยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ “แรนเซิมแวร์” (Ransomware) ที่รู้จักกันในชื่อ “วอนนาคราย” (Wanna cry) หรือ“อยากจะร้องไห้” บนคอมพิวเตอร์ขององค์กรและประชาชนในพื้นที่กว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงธนาคาร,โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เพื่อเรียกเงินบิตคอยคิดเป็นมูลค่า 300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 10,000 บาท

โดยปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ดังกล่าว เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา และเป็นการโจมตีไซเบอร์เรียกค่าไถ่ครั้งใหญ่ที่สุด โดยโจมตีตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ทั้งธนาคารรัสเซียและโรงพยาบาลในอังกฤษและอินโดนีเซีย ไปจนถึงบริษัทบริการขนส่งสินค้าเฟ็ดเอ็กซ์และโรงงานผลิตรถยนต์ในยุโรป

ขณะที่ยูโรโพลเปิดเผยว่า เหตุโจมตีไซเบอร์ครั้งนี้เป็นเหตุโจมตีในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและจะต้องมีการสืบสวนระดับระหว่างประเทศเพื่อหาตัวคนร้าย ยูโรโพลจึงได้ตั้งหน่วยเฉพาะกิจที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ยุโรปเพื่อเป็นตัวหลักในการสนับสนุนการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยแฮ็คเกอร์ได้ใช้โปรแกรมเรียกค่าไถ่ล่วงล้ำระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตนและล็อคไฟล์ข้อมูลผู้ใช้งานเพื่อเรียกเงินค่าไถ่ โดยเหยื่อจะต้องจ่ายเงินบิตคอยให้กับแฮ็คเกอร์ภายในเวลา 3 วันเพื่อปลดล็อคไฟล์ ไม่เช่นนั้นราคาค่าไถ่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว และหากไม่จ่ายเงินภายในเวลา 7 วัน คนร้ายจะจัดการลบไฟล์ทั้งหมดทิ้ง แต่ผู้เชี่ยวชาญและรัฐบาลเตือนว่า การจ่ายเงินค่าไถ่ไม่ได้รับประกันว่าคนร้ายจะปลดล็อคไฟล์ให้ โดยเจ้าหน้าที่ทีมรับมือเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐระบุว่า คนร้ายประสงค์ต่อทรัพย์สินเหยื่อและบางกรณีเป็นข้อมูลธนาคาร

ด้านผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ต่างเห็นพ้องกันว่า การโจมตีครั้งนี้มีขนาดใหญ่มาก โดยนายมิคโก ฮิปโปเนน หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิจัยของบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ “เอฟซีเคียว” ให้สัมภาษณ์ต่อเอเอฟพีว่า นี่นับเป็นการโจมตีเรียกค่าไถ่ทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มีระบบถูกโจมตีถึง 130,000 แห่งในพื้นที่กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยรัสเซียและอินเดียถูกโจมตีหนักที่สุด เพราะคนจำนวนมากยังใช้วินโดว์เอ็กซ์พี ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบปฏิบัติการที่มีความเสี่ยงที่สุด ส่วนตำรวจฝรั่งเศสระบุว่า มีเหยื่อถูกโจมตีกว่า 75,000 รายทั่วโลก แต่เตือนว่าตัวเลขจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างนี้มาก เนื่องจากไวรัสแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเพราะคนร้ายใช้รหัสดิจิทัลที่เชื่อว่าพัฒนาจากโปรแกรมของหน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ

ทั้งนี้ การประชุมระดับรัฐมนตรีคลังกลุ่มประเทศจี 7 ที่อิตาลีประกาศจะต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ส่วนนายเจเรมี ฮันต์ รัฐมนตรีสาธารณาสุขอังกฤษได้เข้าร่วมประชุมฉุกเฉินกับรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆหลังระบบสุขภาพของประเทศถูกโจมตี ด้านนางแอมเบอร์ รัดด์ รัฐมนตรีมหาดไทยอังกฤษระบุว่า ระบบบริการสุขภาพ 48 แห่งจาก 248 แห่งของอังกฤษถูกโจมตีและได้รับการแก้ไขจนสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่ยังเหลืออีก 6 แห่งที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...