สถานการณ์ไฟป่าในออสเตรเลียที่ลุกลามต่อเนื่องไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุดสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ไฟเริ่มลุกลามในผืนป่าทางตอนใต้ จากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงและกระแสลมที่พัดแรงขึ้น รวมทั้งใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนของออลเตรเลียในเดือน ธ.ค. นับเป็นสถานการณ์ภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลาย 10 ปี
ทั้งนี้ โรงเรียนกว่า 100 แห่งได้ปิดตัวลงในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย เนื่องจากไฟได้ลุกลามขึ้นใน 7 เขตทั่วทั้งรัฐ รวมถึงพื้นที่ภูเขาใกล้เมืองแอดิเลด เมืองหลวงของรัฐ ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ราว 1.3 ล้านคน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำการตัดการจ่ายไฟฟ้าในหลายพื้น เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายจากเพลิงไหม้ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของพลเมืองกว่าหมื่นคน
อดัม มอร์แกน นักอุตุนิยมวิทยาระบุว่า “ทิศทางของไฟกระจายตัวมากขึ้นและยากที่จะควบคุม อีกทั้ง ที่พักอาศัยจำนวนมากไม่ได้ถูกสร้างให้ทนต่อสถานการณ์ไฟไหม้เหล่านี้”
ทั้งนี้ ฤดูร้อนของออสเตรเลียจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธ.ค. นี้ ประกอบกับปัจจุบันที่อุณหภูมิและกระแสลมที่พัดอย่างรุนแรงทำลายสถิติ อาจทำให้สภาวะไฟไหม้ในออสเตรเลียลุกลามขึ้นสู่ “ภัยพิบัติ” ระดับสูงสุด โดยอุณหภูมิเมืองแอดิเลดสูงขึ้นถึง 42 องศาเซลเซียสเมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่อุณหภูมิของหลายพื้นที่ในรัฐเซาท์ออสเตรเลียเพิ่มขึ้นสูงกว่า 43 องศาเซลเซียส
นอกจากนี้ สถานการณ์ไฟไหม้ยังลุกลามรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีประชากรอยู่ราว 8 ล้านคน ลุกลามพื้นที่มากกว่าช่วงฤดูแล้งปีที่ผ่านมาถึง 3 เท่า โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าระบุว่า มีหมีโคอะลาตายมากกว่า 350 ตัวจากไฟไหม้ป่าในรัฐนิวเซาท์เวลส์
เช่นเดียวกับรัฐควีนแลนด์ที่นักผจญเพลิงกว่า 1,300 คนยังคงพยายามระงับไฟที่ลุกลามและสร้างความเสียหายให้บ้านเรือนหลายร้อยหลัง และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ราย รวมถึงสัตว์ป่าจำนวนมากที่ไม่สามารถหนีได้
สถานการณ์ไฟไหม้ยังส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศในนครซิดนีย์ที่ย่ำแย่ลงสู่ระดับ“อันตราย” จากกระแสลมที่พัดฝุ่นควันเข้าปกคลุมเมือง โดยมีผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวจากอาการหอบหืดและปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจแล้วกว่า 50 ราย
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังระบุว่ากระแสลมยังจะพัดไปทางทิศตะวันออกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ประกอบกับอากาศที่แห้งยังจะส่งผลให้ไฟลุกลามยิ่งขึ้น ซึ่งอาจสร้างความเสียหายมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ให้กับออสเตรเลีย
