ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน แนะมือใหม่อยากลงทุนกองทุนรวม ต้องเริ่มจากการสำรวจตัวเอง จัดพอร์ตให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และความเสี่ยงที่รับได้ พร้อมเผยเคล็ดลับการเลือกกองทุนรวม ใช้หลัก "2R-2S-2F"
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) จัดงาน Set in the City กรุงเทพมหานคร 2018 มหกรรมการลงทุนแห่งปี ภายในงานมีการสัมนาพิเศษหัวข้อ “สอนมือใหม่ สร้างความมั่งคั่งด้วยพอร์ตกองทุนรวม” โดย นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจผู้ลงทุนสถาบัน บลจ.กสิกรไทย
นายเกษตร กล่าวว่าเริ่มแรกนักลงทุนมือใหม่ต้องรู้จัก 5 ข้อดีลงทุนกองทุนรวม
- มีมืออาชีพดูแล มีผู้จัดการกองทุนที่เป็นมืออาชีพดูแล แต่ไม่ได้หมายความว่าจะการันตีผลตอบแทน เพียงแค่เป็นคนจัดกลยุทธ์การลงทุนให้ และผู้ลงทุนต้องศึกษานโยบาย การรับความเสี่ยงต่างๆด้วย
- กระจายการลงทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ มีเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500 บาทก็สามารถซื้อหุ้นได้แล้ว ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกมาให้แล้ว เช่น เราลงทุนเองโดยตรง อยากซื้อหุ้นกสิกรไทย ขั้นต่ำ 100 หุ้น ต้องมีงิน 20,600 บาท แต่หากใช้เงินเท่ากันแต่นำไปลงทุนในกองทุนรวม สามารถลงในหุ้นได้หลายตัว ซึ่งจะมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีสำหรับนักลงทุนรอยเล็ก
- นโยบายการลงทุนหลากหลาย มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย มีความเสี่ยงได้หลายระดับตามแต่นักลงทุนต้องการ
- สภาพคล่องสูง หากเราซื้ออสังหาหรือพันธบัตรรัฐบาล ที่ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-5 ปี ตอนซื้อสามารถทำได้ง่าย แต่หากต้องการขายทำได้ยากกว่ามาก กองทุนรวมจึงเป็นคำตอบของคนที่ต้องการสภาพคล่องสูง ข้อควรระวังคือต้องดูว่าเป็นกองทุนเปิดหรือกองทุนปิดด้วย
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี กองทุนรวมบางประเภทเราจะสามารถนำใช้ลดหย่อนภาษีได้ เช่น RMF LTF ซึ่งไม่ใช่ได้เพียงแค่ภาษี แต่หากเราไม่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เราก็ควรไปเลือกลงกองทุนปกติ เพราะอาจจะมีนโยบายที่ดีกว่า
หากเริ่มสนใจลงทุนกองทุนรวมแล้ว ขั้นต่อมาคือ "สำรวจตัวเอง และค้นหากองทุนที่เหมาะสม"
1.) วัตถุประสงค์การลงทุนของคุณคืออะไร
- ปกป้องเงินต้นและต้องการสภาพคล่อง
- สร้างรายได้ประจำ
- ต่อยอดให้เงินลงทุนเติบโต
- กระจายความเสี่ยง
2.) ผลตอบแทนที่ต้องการ ผลตอบแทนที่คุณคาดหวัง ต้องดูจาก 2 ปัจจัยนี้จะสอดคล้องกับการรับความเสี่ยงของคุณเองด้วย เป็นไปไม่ได้ที่ข้อแรก
- สองคล้องกับความสามารถในการรับความเสี่ยง
- เพียงพอที่บรรลุเป้าหมายการลงทุน
3.) ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ความเต็มใจที่จะรับความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและทัศนคดติ
- ความสามารถที่จะรับความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับความมั่นคงทางการเงิน
4.) เงื่อนไขและข้อจำกัดในการลงทุน เราต้องรู้เรื่องข้อจำกัดของตนเองด้วย เพราะการเอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทจำมีข้อจำกัด เราจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ทำอะไรหรือไม่ เช่น ต้องจ่ายค่าเทอมลูก ต้องการใช้ไปช้อปปิ้ง หรือไว้ใช้ยามเกษียณ
- สภาคล่องทางการเงิน
- ระยะเวลาในการลงทุน
- เงื่อนไขทางภาษี
- ข้อจำกัดทางกฎหมาย
- ความต้องการพิเศษ
อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง กับวัตถุประสงค์การลงทุน และความเสี่ยงต้องสอดคล้องกัน ตรงนี้เป็น 4 เรื่องที่คุณต้องรู้ก่อนจะลงทุนกองทุนรวม เพื่อให้รู้ตัวเองก่อนว่าเราต้องการสินทรัพย์แบบไหน แล้วค่อยนำข้อมูลตรงนี้ไปเลือกกองทุนรวม
ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการปกป้องเงินต้นก็ไปเลือก กองทุนรวมตลาดเงิน, กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ผลตอบแทนที่คาดหวังได้ 1-3%, กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว 3-6%, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ นำเงินไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สร้างรายได้ประมาณ 5-7%, กองทุนรวมผสม อัตราผลตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุนใน หุ้นและตราสารหนี้ อยู่ที่ 5-8%, กองทุนรวมหุ้น ผลตอบแทนคาดหวังอาจได้ 10-15% บางปีคุณอาจจะติดลบ 20% หรือบวก 30% ก็สามารถเป็นไปได้
*ทุกประเภทการลงทุนจะต้องมีความเสี่ยงที่สูงตามอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังมาด้วยเช่นกัน
นอกเหนือจากนี้ยังมีกองอื่นที่ลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น กองทุนรวมน้ำมัน กองทุนรวมทองคำ อื่นๆ ที่จะให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติมได้ แต่การกระจายความเสี่ยงไปแล้วอาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ ด้วยความเสี่ยที่ผันผวน
เมื่อคุณรู้ถึงเป้าหมายการลงทุนของคุณแล้วก็นำมาจัดพอร์ตการลงทุน 1 เป้าหมาย = 1 พอร์ตการลงทุน พอร์ตทรัพย์สินลงทุนต้องแบ่งเป็นส่วนๆ เพื่อจะมีโอกาสบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างการจัดพอร์ตที่ดี เช่น…
- Port 1 เงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เป้าหมายจะเป็นระยะสั้น <1ปี ผลตอบแทนที่คาดหวัง 1-3% ความเสี่ยงต่ำ = กองทุนตราสารตลาดเงิน , ตราสารหนี้ระยะสั้น
- Port 2 ซื้อรถ ดาวน์บ้าน เป้าหมายในระยะกลาง 3-5 ปี ผลตอบแทนที่คาดหวัง 5-8% ความเสี่ยงปานกลาง = กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว , กองทุนหุ้นสามัญ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์
- Port 3 ค่าเล่าเรียนลูก ค่าผ่อนบ้าน เป้าหมายในระยะยาว ผลตอบแทนที่คาดหวัง 7.6% ต้องการผลตอบก็ต้องนำลไปลงทุนในสินทรัพย์เสียงสูง 40% สินทรัพย์เสียงปานกลาง 60%
- Port 4 เงินเก็บเกษียณอายุ เงินเก็บเกษียณอายุ เป้าหมายระยะยาว ผลตอบแทนอย่างน้อย 9.6% กองทุนรวมหุ้น
เมื่อนำมารวมกันทั้ง 4 พอร์ต ก็จะเป็น 10% สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ, 30% สินทรัพย์เสียงปานกลาง และ 60% สินทรัพย์เสี่ยงสูง
"สามารถทดสอบความเสี่ยงการจัดพอร์ตการลงทุนของคุณได้ฟรี คลิก"
การหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่หาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่ให้ดูจากวัตถุประสงค์การลงทุนของคุณในพอร์ตการลงทุนนั้นๆ เช่น คุณต้องการใช้เป็นเงินที่มีสภาคล่องสูง ประมาณ 200,000 บาท สามารถเบิกใช้จ่ายได้ภายใน 2-3 วัน แต่นำไปลงทุนกองทุนระยะยาวที่ได้ผลตอบแทน 7-8% ก็ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนได้อีกด้วย
หรือคุณต้องการเงิน 10 ล้านบาท ในอีก 25 ปี ต้องการผลตอบแทน 10% ต่อปีใช้เพื่อการเกษียณ แต่นำไปลงทุนตราสราหนี้ระยะสั้น ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 1-3% ก็จะไม่ตอบโจทย์การลงทุนของคุณได้นั่นเอง
โดยเทคนิคแนวทางการเลือกกองทุนรวม ที่ดีแบ่งเป็น 3 ข้อด้วยกันได้แก่…
1.เทคนิค 2R
- Return สม่ำเสมอ ไม่น้อยกว่า Benchmark
- Risk ค่าพื้นฐานส่วนเบี่ยงเบน SD(ต่ำ) มีความผันผวนน้อย IR(สูง)
2.เทคนิค 2S
- Strategy กองทุนเข้าอิงตามตลาด Passive หรือ Active พยายามเลือกหุ้นให้ดีกว่าตลาด ต้องเลือกที่ดีกว่าตลาด(ซึ่งไม่ได้การันตีผลตอบแทน) อีกอย่างคือมีนโยบายการจ่ายผลตอบแทน ปันผล หรือไม่ปันผล
- Selection สไตล์หุ้น / Sector / Credit Rating กองทุนของเขากระจายการลงทุนในหุ้น 30-40 ตัว หรือกองทุนนั้นเลือกหุ้นหลักๆเพียง 10 ตัวเท่านั้น บางกองเลือกเป็นกลุ่ม กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มการเงิน สิ่งเหล่านี้ก็จะมีผลต่อการลงทุนของเราด้วยนั่นเอง
3.เทคนิค 2F
- Fee ค่าบริหารจัดการสมเหตุสมผล / น้อยกว่ากองอื่นๆแบบเดียวกัน บางคนคิดค่าธรรมเนียมสูง แต่เขาสามารถที่จะให้ผลตอบแทนสูงได้ ฉะนั้นของถูกไม่ได้แปลว่าดี และของที่ดีไม่จำเป็นต้องแพง
- Fund manager ผู้จัดการกองทุนมีความรู้ความสามารถ
ซึ่งหลายคนมักจะมีคำถามตามมาเสมอว่า แล้วซื้อเมื่อไหร่? จึงมีกลยุทธ์การลงทุนแบ่งให้เป็น 2 รูปแบบด้วย คือ 1.กลยุทธ์ Market Timing หาเวลาลงทุนที่เหมาะสมและดีที่สุดที่จะซื้อพื่อหาโอกาสทำกำไรจากส่วนต่าง ในช่วงเวลาการลงทุนระยะสั้น
2.กลยุทธ์ Dollar Cost Averaging(DCA) ลงทุนสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน ในช่วงเวลาที่เท่ากัน โดยการ กำหนดจำนวนเงิน > กำหนดความถี่ > กำหนดระยะเวลา และเลือกกองทุนที่ต้องการออม
เท่านี้ก็จะสามารถจัดการเลือกเวลาการซื้อขายเพื่อลงทุนสร้างผลตอบแทนได้แล้ว แต่ทุกครั้งต้องพิจารณาสภาวะตลาดเพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อขาย พร้อมกับอ่านหนังสือชี้ชวนให้ละเอียด