โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

มาหาคำตอบ ใบหน้ากระตุกครึ่งซีก เสี่ยงเป็นอันตรายรุนแรงหรือไม่?

MThai.com - Health

เผยแพร่ 13 พ.ย. 2561 เวลา 01.00 น.
มาหาคำตอบ ใบหน้ากระตุกครึ่งซีก เสี่ยงเป็นอันตรายรุนแรงหรือไม่?
ใบหน้ากระตุกครึ่งซีก นอกจากจะทำให้เราหมดความมั่นใจลงไปล้ว ยังทำให้เราเป็นกังวลอีกด้วยว่า จะมีโรคร้ายอะไรแอบแฝงไว้อีกหรือเปล่า?

มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเผชิญกับปัญหา ใบหน้ากระตุกครึ่งซีก นอกจากจะทำให้เราหมดความมั่นใจลงไปล้ว ยังทำให้เราเป็นกังวลอีกด้วยว่า จะมีโรคร้ายอะไรแอบแฝงไว้อีกหรือเปล่า? อย่าเพิ่งคิดไปเองค่ะ เรามาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่านะคะ

ทำความรู้จักอาการ ใบหน้ากระตุกครึ่งซีก

ภาวะใบหน้ากระตุกครึ่งซีก เป็นโรคที่พบมากในชาวเอเชียสาเหตุยังไม่มีใครทราบแน่ชัด พบได้ทั้งหญิงชายโดยเฉลี่ยอายุประมาณ 20 – 60 ปี คนไข้จะเริ่มด้วยอาการเหมือนตาเขม่น อาจจะมีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณใต้ลูกตาข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นอาจเป็นมากขึ้นจนทำให้เกิดการกระตุกที่มุมปากและในที่สุดจะมีการกระตุกทั้งซีกบริเวณใบหน้าจนทำให้ตาตี่หรือตาหลิ่ว และปากเบี้ยวเป็นพัก ๆ

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีภาวะใบหน้ากระตุกครึ่งซีกเป็นมากขึ้น

  1. อดนอน

  2. เครียด วิตกกังวล

  3. ใช้สายตามากติดต่อกันระยะเวลานาน

การวินิจฉัย

แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายตามปกติ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจค้นด้วยวิธีพิเศษทางคอมพิวเตอร์สแกนสมอง หรือตรวจด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าของสมองแต่อย่างใด เพราะการตรวจด้วยวิธีดังกล่าวมักจะไม่พบพยาธิสภาพหรือข้อบ่งชี้ว่าคนไข้เหล่านี้เกิดอาการด้วยพยาธิสภาพใด

อันตรายหรือไม่?

หลายคนกังวลว่าโรคนี้เกิดจากเนื้องอกของสมอง หรือเป็นความผิดปกติที่ร้ายแรง แต่โดยทั่วไปคนไข้กลุ่มใบหน้ากระตุกครึ่งซีกจะไม่มีอาการของโรครุนแรงเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นถือว่าเป็นภาวะที่ไม่รุนแรง แต่มีข้อเสียคือ ผู้ป่วยจะเกิดความรำคาญ หรือไม่มั่นใจเมื่อต้องอยู่ในสังคมจนเกิดเป็นปมด้อยได้

แม้ในปัจจุบันจะไม่รู้ว่าสาเหตุแน่ชัด แต่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะมีหลอดเลือดบริเวณก้านสมองที่ผิดปกติไปแตะอยู่บนประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งเป็นประสาทที่มาควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าตลอดเวลา จึงทำให้มีการปล่อยกระแสไฟฟ้ามากเกินไป ทำให้เกิดใบหน้ากระตุกครึ่งซีก อย่างไรก็ตาม พบว่าคนไข้บางรายไม่เคยมีพยาธิสภาพของหลอดเลือดผิดปกติดังกล่าวมาแตะบริเวณเส้นประสาทเลย และยิ่งกว่านั้นคนไข้จำนวนหนึ่งที่ได้รับการผ่าตัดแยกหลอดเลือดที่มาแตะบนประสาทสมองคู่ที่ 7 นี้ออกไปแล้วอาจทำให้หายชั่วคราว แต่คนไข้เกินกว่าครึ่ง มักกลับมาเป็นอีกภายหลังการผ่าตัด 3 – 5 ปี ดังนั้นการแก้ปัญหาโดยวิธีดังกล่าวจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษา

ประเทศไทยมีการรักษาอย่างไร?

คนไข้จะได้รับการบำบัดรักษาหลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

1. ยา อาจใช้ยากลุ่มออกฤทธิ์กล่อมประสาทบำบัดรักษาได้เช่นกัน แต่ผลข้างเคียงค่อนข้างสูง ผู้ป่วยจะง่วงนอน และไม่สามารถปฏิบัติภารกิจประจำวันได้ ขณะเดียวกันผลของการควบคุมการกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้าพบว่ามีประสิทธิผลเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น

2. ฉีดสารโบทูลินัม ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากเชื้อแบคทีเรีย Clostidium botulinum ซึ่งขณะนี้เป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด ออกฤทธิ์โดยสกัดกั้นกระแสไฟฟ้าที่ส่งออกมาจากปลายประสาทมายังบริเวณ presynaptic site ของกล้ามเนื้อใบหน้าโดยตรง ทำให้ไม่สามารถหลั่งสาร acetyl choline ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทออกมาได้
ดังนั้นคำสั่งที่มายังกล้ามเนื้อจึงลดปริมาณลง มีผลให้การกระตุกของกล้ามเนื้อลดลง อย่างไรก็ตาม วิธีดังกล่าวเป็นการรักษาตามอาการ ผู้ป่วยต้องมาฉีดสารโบทูลินัมทุกๆ 3 – 6 เดือน ตามระยะเวลาของยาที่ออกฤทธิ์ ซึ่งการรักษาโดยวิธีนี้ได้ผลราวร้อยละ 85

3. วิธีรักษาอื่นๆ เช่น การผ่าตัด ถือเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูง เพราะอาจเกิดผลแทรกซ้อน เช่น หูหนวก ปากเบี้ยว มีเลือดออกที่ก้านสมอง เลือดออกในสมองน้อยจนทำให้หมดสติ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดภาวะเจ้าชายนิทรา หรือเสียชีวิต เพราะตำแหน่งของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 อยู่ใกล้กับก้านสมองและสมองน้อย ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญของสมองนั่นเอง แม้การรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลราวร้อยละ 85 แต่ราวร้อยละ 50 อาจมีอาการเกิดซ้ำได้อีกหลังผ่าตัดแล้ว 5 ปี

แต่ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใด อย่าเพิ่งกังวลเกินไป เพราะหากทำจิตใจให้สบาย พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมทั้งลดการใช้สายตาและความกังวลลงได้ อาการก็จะค่อยๆ ทุเลาลง

ที่มา : ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0