ว่ากันว่า "การเมืองไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร" น่าจะยังเป็นจริงได้ทุกยุคสมัย
แม้แต่"คนกันเอง"ที่เคยทำงานการเมืองด้วยกัน พรรคเดียวกัน และรัฐบาลเดียวกัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ จะเล่น"บทดุ" ซัดใส่นายอดิศร เพียงเกษ แกนนำพรรคเพื่อไทย กรณีท้วงกลับนายสุริยะว่าสติยังดีอยู่หรือไม่ หลังประกาศบนเวทีแนะนำว่าที่ผู้สมัครส.ส.ขอนแก่น ว่าจะเหมาทั้ง 10 เก้าอี้ส.ส.
ทั้งทวงบุญคุณ อ้างเป็นคนเลือกนายอดิศรเป็นรัฐมนตรีช่วยคมนาคมเมื่อปี 2548 ที่ตนนั่งว่าการกระทรวงด้วยตัวเอง และก็มีผลงาน
และก่อนหน้า นายสุริยะก็สมบท "หมูไม่กลัวน้ำร้อน" ตอบโต้ใส่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่เปิดประเด็นกล่าวหาว่าตนต่อรองขอจองเก้าอี้รัฐมนตรีคมนาคมกับพรรคพลังประชารัฐแล้ว
ครั้งนั้น นายสุริยะซัดกลับแบบไม่ไว้ไมตรี ระบุพฤติการณ์"บิ๊กเหลิม"ไม่เคยเปลี่ยน ชอบกล่าวหาและใส่ร้ายคนอื่น เอาดีเข้าตัว และคิดว่าคนอื่นจะคิดแบบตน
การเปิดวิวาทะเข้าใส่ 2 แกนนำระดับบนของพรรคเพื่อไทย หลังจากเปิดตัวอยู่ฝ่ายพรรคพลังประชารัฐของนายสุริยะ ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งตื่นตะลึงทีเดียว
เพราะภาพลักษณ์ของเขาหลังกลับเข้าสู่เวทีการเมืองอีกหนครั้งนี้ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมชัดเจน จากเดิมที่เป็นแม่บ้านและถุงเงินของพรรคเป็นสำคัญ ไม่ถนัดเรื่องการพูด หรือกล่าวหาใคร กลายเป็นคนที่พร้อมตอบโต้ใส่คู่แข่งในเวทีเลือกตั้งทันทีที่ถูกพาดพิงถึง
ต่างจากเมื่อครั้งชี้แจงการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯครั้งกระโน้น ที่ว่ากันว่าเขาต้องพูดตาม"โพย"ที่ส่งไปให้ทุกอย่าง แม้แต่คำอุทานอย่าง คำว้า"พุทโธ่"!
การกลับมาใหม่ของนายสุริยะ แสดงให้เห็นว่า มีพัฒนาการของการเป็นนักการเมืองระดับแกนนำมากขึ้น กล้าที่จะพูด และใช้วาจาตอบโต้ โดยไม่หวังแค่รักษารูปมวยของตนเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อตระหนักดีว่า ตนเองอยู่ในฐานะผู้นำคนสำคัญของกลุ่มสามมิตร ที่เป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ และจะเป็นหนึ่งในผู้ให้คำตอบว่า พรรคพลังประชารัฐจะชนะเลือกตั้งส.ส.ได้มากน้อยแค่ไหน
ในเมื่อจิ๊กซอว์ที่จะเติมเต็มการเป็นพรรคชนะเลือกตั้ง หรืออย่างน้อยที่สุด ชนะเป็นลำดับที่ 1 ของกลุ่มพรรคการเมืองที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คือกลุ่มสามมิตร
นี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่สุดของนายสุริยะและแกนนำในกลุ่มสามมิตร เพราะจะเป็นบทพิสูจน์ว่า เป็น"ของจริง"หรือแค่ราคาคุย
สถานการณ์ของนายสุริยะ จึงไม่ต่างอะไรกับการนั่งอยู่บนหลังเสือ ที่จะทะเล่อทะล่าลงมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้แล้ว
ความจริงนายสุริยะเข้าสู่การเมืองอย่างเต็มตัว ทีหลังร.ต.อ.เฉลิม และนายอดิศรระยะหนึ่ง แม้จะนับย้อนหลังรวมสมัยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีอุตสาหกรรมสังกัดพรรคกิจสังเมื่อปี 2541 ก็ตามที เพราะร.ต.อ.เฉลิม เป็นส.ส.กรุงเทพฯครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2526 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์
ขณะที่นายอดิศร เป็นส.ส.ขอนแก่นสมัยแรกปี 2531 สังกัดพรรคมวลชน
แต่การคลุกคลีอยู่ในแวดวงการเมืองนานกว่าสิบปี ก่อนจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีในฐานะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ทำให้นายสุริยะได้ศึกษาเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของนักการเมืองได้ลึกซึ้ง ไม่ต่างจากนักการเมืองอาชีพคนอื่นๆ
คำพูดตอบโต้ของเขาที่มีต่อ ร.ต.อ.เฉลิม และนายอดิศร ซึ่งปัจจุบันยังเป็นแกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย ทำให้มีคอการเมืองพันธุ์แท้จำนวนไม่น้อย ถือหางสนับสนุนคำพูดของนายสุริยะ
ไม่เฉพาะแฟนคลับหรือกลุ่มที่สนับสนุน"บิ๊กตู่"เท่านั้น
ประกอบคำแจกแจงเรื่องสาเหตุกลับคืนสู่เวทีการเมืองอีกหน เพราะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกฯในครม."บิ๊กตู่" ต้องการสร้างพรรคการเมืองใหม่ที่เป็นทางเลือกของประชาชน เพื่อจะได้ก้าวข้ามจากระบบ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่ผลัดกันเป็นรัฐบาลกับฝ่ายค้าน และเป็นต้นตอสำคัญให้เกิดความขัดแย้งจนประเทศวนเวียนติดหล่มอยู่หลายปี และไม่มีทางออก
คำแจกแจงของนายสุริยะ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไปโดนใจและตรงกับความหวังของประชาชนส่วนหนึ่งที่อยากเห็นประเทศไทยเดินหน้าไปต่อ
จึงไม่มีท่าทีคัดค้านไม่เห็นด้วยจากผู้คนมากนัก แม้กลุ่มสามมิตรจะเสียรังวัดพอสมควรจากความพยายามเสนอนโยบาย แปลง ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดทองคำ เปลี่ยนมือซื้อขายได้
แต่ในสถานการณ์ที่มีทางเลือกไม่มาก ผู้คนจึงไม่ติดใจกับเรื่องนี้มากนัก จึงถือเป็นโอกาส และปรากฎการณ์ที่มีให้เห็นไม่บ่อยนัก
ภารกิจสำคัญบนสองบ่าของนายสุริยะ ทั้งในฐานะแกนนำกลุ่มสามมิตร และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ จึงยังต้องถูกท้าทายและรอพิสูจน์ฝีมือต่อไป
โดยเฉพาะโจทย์ใหญ่ จะส่ง "บิ๊กตู่"ถึงฝั่งฝันได้หรือไม่?