โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

ภัยไวรัส รัฐ และสังคม 6 หนังว่าด้วยผลกระทบและวิธีจัดการโรคระบาด

The MATTER

อัพเดต 27 ม.ค. 2563 เวลา 12.17 น. • เผยแพร่ 27 ม.ค. 2563 เวลา 12.15 น. • Entertainment

แค่ได้ยินว่าเชื้อไวรัสกำลังระบาด ใจก็เหมือนหล่นไปอยู่ตรงตาตุ่มแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ยังปกติดีอยู่เลย มาวันนี้กลายเป็นต้องเตรียมตัวเฝ้าระวัง นึกภาพตามไม่ทันเลยว่าต่อไปจะเป็นยังไง ป้องกันได้ไหม ในหัวก็คิดจนแพนิกไปหมดแล้ว

ช่วงนี้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังและคอยติดตามอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสถานการณ์ที่เราต้องประสบกับโรคภัยครั้งใหญ่นั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก พอกลายเป็นปัญหาระดับโลกใครๆ ก็ต้องกังวลเป็นธรรมดา จะป่วยขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โชคยังดีที่ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน หนังแนวมนุษยชาติเผชิญหน้ากับโรคระบาดก็มันจะมีให้เห็นดูบ่อยๆ เป็นหนังที่ทำให้เราพอจะเห็นภาพของความอันตรายจากโรคติดต่อที่กระทบในระดับสังคม ได้เห็นตัวอย่างของการจัดการโดยรัฐ ไปจนถึงผลลัพธ์ที่ตามมา

นอกจากได้ความบันเทิงจากหนัง ยังเตรียมเนื้อเตรียมตัวกันได้ทันด้วย

Contagion (2011)

ถ้าบอกว่าหนังที่เล่าภาพรวมการแพร่กระจายลึกลับบนโลกที่น่าสะพรึงกลัวและดูจริงจังที่สุด หลายคนคงจะต้องนึกถึงเรื่องนี้แน่นอน เพราะเมื่อดูไปจนจบ เราจะเห็นได้ว่าที่มาที่ไปของโรคนั้นเกิดขึ้นจากการที่ค้างคาว—สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มักจะเป็นพาหะเชื้อไวรัสหลายชนิด—ไม่ใช่เพราะว่าค้างคาวสกปรกจนโรครุมเร้า แต่เพราะค้างคาวมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานดีจนเหมือนไม่มีโรคภัยใดๆ แต่เชื้อเหล่านั้นยังเป็นอันตรายต่อสัตว์อื่นๆ อยู่ อย่างในหนังเรื่องนี้ เมื่อเชื้อเข้าสู่ตัวหมูและแพร่ไปสู่มนุษย์ผ่านบาดแผลของคนครัว จึงทำให้โรคร้ายที่ภายหลังถูกเรียกว่า MEV-1 สร้างคนไข้หมายเลขศูนย์ (Patient Zero) ก่อนที่เชื้อจะแพร่กระจายไปทั่วโลก พร้อมกับดึงผู้คนไปสู่ความตายมากกว่ากว่า 25 ล้านคน กว่าที่ทีมแพทย์จากทั่วทั้งโลกจะระดมกำลังกันเพื่อสร้างยาต้านโรคร้าย แต่ในระหว่างนั้นความวุ่นวายก็เข้าไปสู่มวลชนเรียบร้อยแล้ว ทั้งคนที่เชื่อข่าวลือและสภาพสังคมที่จะต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตเพื่อไม่ให้ติดโรคร้าย

แรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้นั้นมาจากเหตุการณ์ระบาดของโรคซาร์ส, ไข้หวัดใหญ่ H1N1 และไรวัสนิปาห์ ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้าหนังจะเริ่มถ่ายทำในปี ค.ศ.2010 แต่ก็มีความบังเอิญที่น่าตกใจเกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์ในหนังสอดคล้องกับเหตุการณ์ไวรัสโคโรนาระบาดที่ขึ้นในช่วงต้นปี ค.ศ.2020 และเมื่อเริ่มสืบค้นว่าไวรัสโคโรนาจากอู่ฮั่นมีที่มาที่ไปอย่างไรก็พบว่า มีโอกาสสูงที่ชาวจีนในเมืองอู่ฮั่นซึ่งนิยมการกินเนื้อสัตว์หลากหลายอาจจะกินค้างคาวผสมปนเปกับเนื้อชนิดอื่น จนกลายเป็นที่มาของโรคคล้ายกับเหตุการณ์ในหนัง

แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการบ่งบอกได้ดีว่า ไวรัสที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้ง่ายดายยังมีอยู่ในธรรมชาติ และเราก็ไม่ควรเย็นใจจนตัดสินใจลองทำอะไรให้สุ่มเสี่ยงติดโรคร้ายแบบง่ายดายกันด้วย

Outbrake (1995)

ย้อนไปยังปี ค.ศ.1967 ในหมู่บ้านเล็กๆ อันห่างไกลของประเทศซาอีร์ได้มีไวรัสชื่อ โมโทบา (Motoba) ระบาดขึ้นมา ณ เวลานั้นกองทัพสหรัฐอเมริกาตัดสินใจเก็บงำเรื่องไวรัสร้ายไว้เป็นความลับ ก่อนจะสั่งทำลายหมู่บ้านจนเหี้ยนเพื่อควบคุมพื้นที่ระบาดของโรค จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงปี ค.ศ.1995 ก็มีคนลักลอบเอาลิงที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวเข้ามาในสหรัฐอเมริกาทำให้ไวรัสโมโทบากระจายสู่คนทั่วไป และไวรัสดังกล่าวยังกลายพันธุ์เป็นไวรัสลักษณะใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่จนทำให้โรคร้ายแพร่พันธุ์ได้ง่ายกว่าเดิม มิหนำซ้ำกองกำลังทหารที่ตั้งใจปกปิดเรื่องของไวรัสนี้ยังพยายามเข้ามาห้ามปรามไม่ให้สร้างยารักษาโรคให้สำเร็จ แต่ด้วยความมุ่งมั่นของทีมแพทย์ทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะเกมการเมืองและหาทางรักษาจนเป็นผลสำเร็จ

หนังที่ออกฉายในปี ค.ศ.1995 เรื่องนี้ หยิบจับเอาการระบาดไวรัสอีโบลามาเสริมต่อ ว่าไวรัสได้กลายพันธุ์มากขึ้น ทั้งยังพ่วงกับแนวคิดที่ว่า หากรัฐตั้งใจจะปิดบังเรื่องโรคร้าย ไม่ว่าจะเพื่อการใด สุดท้ายแล้วก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อคนในประเทศต้นทางที่เกิดโรค และประเทศอื่นๆ ที่ต้องมานั่งลุ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งจุดนี้ก็คล้ายเคียงกับเมื่อครั้งที่รัฐบาลท้องถิ่นในหลายมณฑลของประเทศจีนที่ปกปิดเหตุการณ์โรคซาร์สระบาดในปี ค.ศ.2013

ทั้งนี้ หนังเล่าว่ามีลิงคาปูชินหน้าขาวติดเชื้อไวรัสมา แต่ความจริงแล้วลิงพันธุ์ดังกล่าวไม่มีอยู่ในพื้นที่ทวีปแอฟริกาหรอกนะ

Flu (2013)

เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อคนที่ลอบอพยพเข้าประเทศเกาหลีใต้เกิดเสียชีวิตอย่างปริศนา ก่อนที่โรคดังกล่าวจะแพร่เชื้อไปยังชาวเกาหลีใต้ที่ทำหน้าที่ลักลอบคนเข้าเมือง ด้วยความที่อาการป่วยนั้นเป็นเหมือนไข้หวัดและตัวคนที่เป็นพาหะก็ไม่ได้ระมัดระวังตัว ฝันร้ายครั้งใหม่จึงเกิดขึ้นกับชาวเกาหลีใต้ เพราะเชื้อโรคดังกล่าวคือไข้หวัดนก H5N1 ที่กลายพันธุ์จนทำให้อาการป่วยสามารถฆ่าผู้ติดเชื้อได้ในหนึ่งสัปดาห์ ในช่วงเวลาไม่นานนัก ไข้หวัดชุดใหม่นี้ก็ทำลายชีวิตคนไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กองทัพเกาหลีใต้และกองทัพสหรัฐอเมริกาตัดสินใจกันผู้ป่วยติดเชื้อไว้ในเมืองหนึ่ง ความวุ่นวายของการปิดกั้นการเดินทางนี้ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนที่อยู่ในเมืองที่มีผู้ติดเชื้อกับคนที่อยู่ด้านนอก

ด้วยความหวาดกลัว เห็นแก่ตัว และความเข้าใจผิดของมนุษย์ จึงทำให้เกิดเหตุถึงเสียชีวิตโดยไม่จำเป็นอีกมาก โชคดีที่หมอส่วนหนึ่งสามารถค้นหาแอนติบอดีที่ต่อต้านโรคดังกล่าว แต่ระหว่างนั้นกองทัพสหรัฐอเมริกาก็พยายามใช้กำลังเพื่อจัดการกับกลุ่มคนที่ติดเชื้อ การแข่งขันกันระหว่างการเอาชนะโรคร้ายกับเกมการเมืองระหว่างชาติจึงเริ่มขึ้น

หนังจากเกาหลีใต้เรื่องนี้ เอาโรคที่มีอยู่จริงอย่างไวรัส H5N1 มาบอกเล่า จึงทำให้คนดูเข้าใจได้โดยง่ายว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นยังไงบ้าง และหนังยังมีฉากที่ทำให้เราจดจำได้ดีว่าคนป่วยที่ไม่ใส่หน้ากากสามารถทำให้เชื้อเดินทางไปหาคนหมู่มากได้ยังไง รวมถึงในส่วนของการเมืองก็น่าสนใจดีว่า ถ้ารัฐไม่ได้ตัดสินใจจะปกป้องประชาชนอย่างที่ในหนังทำไว้ สถานที่แห่งนั้นจะกลายเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่?

Blindness (2008)

หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายของนักเขียนชาวโปรตุเกส บอกเล่าเกี่ยวกับโลกที่เผชิญหน้ากับโรคติดต่อลึกลับซึ่งทำให้ผู้ป่วยกลายเป็นคนตาบอด แต่แทนที่จะเห็นความมืดมิด ผู้ป่วยโรคนี้จะเห็นเป็นแสงสีขาวปลอด ด้วยความที่ผู้ป่วยด้วยโรคนี้ไม่ได้มีผลร้ายต่อสุขภาพจนถึงตาย แต่การใช้ชีวิตของพวกเขาอาจจะก่ออันตรายได้ รัฐบาลจึงรวบรวมคนป่วยมาอาศัยอยู่ในศูนย์กักกัน และด้วยจำนวนผู้ป่วยที่มีมากขึ้นทำให้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่แบ่งแยกกันอยู่ตามสังคมที่พวกเขารู้ช่องทาง ต่อมาสังคมของคนป่วยก็พังทลาย จนกระทั่งกลุ่มคนที่ยังสามัคคีกันอยู่สามารถเอาชีวิตรอดและเริ่มรักษาตัว สุดท้ายสังคมในเรื่องก็เป็นไปได้ที่จะกลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้งในอนาคต

หนังเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลายตัวโดยมีหมอกับภรรยาที่แกล้งตาบอดเป็นตัวเดินเรื่อง ทำให้ได้เห็นความน่าสนใจจากมุมมองที่ว่าโรคภัยนั้นอาจจะเป็นอันตรายสังคมก็จริง แต่ถ้าหากสังคมเพิกเฉยคนป่วย สุดท้ายมันอันตรายกว่าตัวของอาการป่วยเสียอีก และในโลกแห่งความเป็นจริง ก็มีหลายครั้งที่ผู้มีอำนาจหรือผู้คนทั่วไป มักจะมองว่าการเขี่ยคนเหล่านั้นออกไปจากสังคมเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ซึ่งความคิดขับไล่แบบนี้อาจจะเป็นโรคติดต่อที่น่ากลัวอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้

It Comes At Night (2017)

โลกตกอยู่ในสภาพที่มีโรคร้ายที่ติดเชื้อได้อย่างง่ายดาย คนที่เหลือรอดจึงใช้ชีวิตกันอย่างห่างเหิน เช่นเดียวกับครอบครัวหนึ่งที่จำเป็นต้องสังหารคุณตาของบ้านเพราะเกิดติดโรคอย่างกระทันหัน แม้ว่าพวกเขาจะเผาศพของคุณตาไปแล้ว แต่ความหวาดระแวงต่อโรคภัยและโลกทั้งใบก็ยังมีอยู่มาก ทำให้เมื่อผู้เป็นพ่อจับกุมคนแปลกหน้าอย่างดุดัน แม้ว่าชายตรงหน้าจะบอกว่าแค่ต้องการมาตามหาแหล่งน้ำสะอาด สุดท้ายผู้เป็นแม่จึงตัดสินใจชวนครอบครัวของชายแปลกหน้าอยู่ในบ้านหลังใหญ่ด้วยกัน เพราะยิ่งคนมากกว่าก็จะเอาตัวรอดได้ง่ายกว่า ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะพวกเขาสามารถป้องกันตัวจากโจรที่หมายจะมาปล้นได้ง่ายดาย แต่ครอบครัวของชายเจ้าของบ้านได้ออกกฎอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกฎที่ว่า อยู่ในบ้านต้องยอมปลดอาวุธทั้งหมด และถ้าจะเปิดประตูจะต้องทำการล็อกทุกครั้ง

แต่แล้ววันหนึ่งประตูของบ้านก็ถูกเปิดออกอย่างลึกลับ และหมาของบ้านที่เคยหายตัวไปก็กลับมาพร้อมกับอาการป่วย เรื่องนี้ทำให้ ครอบครัวของชายเจ้าของบ้านและครอบครัวของชายแปลกหน้าเริ่มสงสัยกันและกัน รวมไปถึงว่ามีใครติดเชื้อจากสุนัขที่ติดโรคหรือไม่ สถานการณ์ในบ้านสั่นคลอนจนทั้งสองครอบครัวตัดสินใจอยู่ในห้องตัวเองจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีคนป่วยอยู่ แต่เหตุการณ์ไม่สงบดังคาด เพราะครอบครัวของชายเจ้าของบ้านคิดว่าลูกของครอบครัวชาวแปลกหน้าติดเชื้อ ซึ่งความคิดดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชายเจ้าของบ้านปลิดชีวิตครอบครัวของชายแปลกหน้าจนหมด เรื่องควรจะจบลงด้วยดี แต่กลายเป็นว่าลูกชายของชายเจ้าของบ้านก็ติดเชื้อแล้วเช่นกัน และภรรยาของชายเจ้าของบ้านก็ถอดใจจนยอมทำตัวสุ่มเสี่ยงให้ติดโรค …และในครั้งนี้ผู้ชนะที่ชัดเจนที่สุดคงไม่ใช่ใครนอกจากโรคภัยที่ปลิดชีวิตคนในบ้านใหญ่หลังนี้ได้อย่างไม่ละเว้น

ถ้าอ่านเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้จะเห็นว่า แทบจะไม่มีรายละเอียดของโรคร้ายแบบชัดเจนเลย และทำให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งของการไม่เสพข้อมูลอย่างมีสติ เพราะหนังเรื่องอื่นๆ มักจะบอกเล่าปัญหานี้ด้วยเหตุการณ์ที่มีคนปล่อยหรือเสพข่าวลือที่นำทางสู่ความฉิบหายของผู้ปล่อยข่าวและผู้เสพข่าว แต่ในหนังเรื่องนี้ เป็นอีกมุมของการตั้งใจและตัดใจในการเสพข่าว แถมยังเดินหมากขาดสติไปไกลด้วยการเลือกที่จะเชื่อเพียงมุมมองเดียว แม้ว่าจะมีที่มาจากความหวังดีเพื่อปกป้องครอบครัวให้ปลอดภัยก็ตาม แต่บางครั้งในชีวิตของคนเรา ไม่ว่าจะมีโรคร้ายหรือไม่ ก็การลองฟังคนอื่นอย่างใจเย็นคงดีกว่าที่จะจบเห่ลงด้วยความล้มเหลวโดยสมบูรณ์จากการดื้อรั้นไม่สนใจใคร

และสำหรับใครที่สงสัยว่า สุดท้ายแล้วมี 'สัตว์ประหลาด' ปรากฎตัวในเรื่องนี้หรือไม่ เพราะชื่อหนังชวนให้คิดว่าจะมีอะไร 'จะออกมา' เหลือเกิน ผู้กำกับภาพยนตร์เคยให้สัมภาษณ์ว่า มันอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ แล้วแต่คนดูจะคิด กระนั้นสิ่งที่ชัดเจนว่า สิ่งที่ปรากฏตัวออกมาและอาจจะน่ากลัวกว่าสัตว์ประหลาดคือ 'ความกลัว' จนยอมละทิ้งหลักการและเหตุผลนั่นล่ะ

I Am Legend (2007)

โรคร้ายของหนังเรื่องนี้เป็นเชื้อไวรัสที่ถูกมนุษย์ปรับแต่งพันธุกรรมโดยหวังว่าจะใช้รักษาโรคมะเร็ง แต่กลายเป็นว่าเชื้อนี้กลายพันธุ์เป็นโรคที่สังหารมนุษย์ได้อย่างดี ทำให้มนุษย์กว่า 90% เสียชีวิต ส่วนคนที่รอดเหลือก็ยังแบ่งแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มใหญ่คือผู้ติดเชื้อแล้วยังรอดตายกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด และแพ้แสงแดดประหนึ่งแวมไพร์ ส่วนคนกลุ่มน้อยมากนั้นเป็นผู้โชคดีที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ แต่โชคร้ายเพราะจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันอ่อนแอที่ถูกล่าได้โดยง่าย เช่นเดียวกับตัวเอกของเรื่องที่รอดตายและใช้ชีวิตกับสุนัขคู่ใจบนเกาะแมนแฮตตั และด้วยความที่ตัวเอกเป็นอดีตนายแพทย์ของกองทัพสหรัฐอเมริกา เขาจึงพยายามทดลองหายารักษาโรคด้วยการใช้เลือดของตัวเองที่มีภูมิคุ้มกันเป็นสารตั้งต้น ซึ่งการทดลองมีความคืบหน้า แต่เพื่อแสดงความมั่นใจว่ายาดังกล่าวใช้ได้จริง เขาจึงทำการจับกุมผู้ป่วยที่ติดเชื้อมา แต่หลังจากการทดลองกับผู้ป่วยจริง พระเอกของเรื่องก็พบว่าเขาโดนกับดักแบบแปลกๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน หนำซ้ำยังต้องเสียหมาคู่ใจไปจนเกือบจะสิ้นความหวังในชีวิต

จนวันหนึ่งเขาได้เจอแม่ลูกชาวบราซิลที่มีภูมิต้านทานจากโรค แต่การพบกันของผู้ปลอดภัยจากโรค ทำให้เหล่าผู้ติดเชื้อฝูงใหญ่บุกเข้ามาทำลายบ้านพักและไปจนถึงห้องทดลอง ในภาวะที่สิ้นหวังเช่นนี้ พระเอกของเราได้พบว่ายารักษาโรคที่เขาพยายามทดลองมาโดยตลอดนั้นใช้การได้ผลแล้ว เขาจึงตัดสินใจบอกให้สองแม่ลูกหลบหนีไปด้วยทางออกฉุกเฉิน ก่อนที่เขาจะระเบิดตัวเองไปกับผู้ติดเชื้อทั้งหมด จนกลายเป็นตำนานของหมอผู้ผลิตยารักษาโรคเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติไป

หนังอาจจะมีบทบาทของไวรัสไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กลายเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตของมนุษย์โดยส่วนใหญ่ไปได้ และหนังก็ถ่ายทอดภาพโลกที่ไร้มนุษย์ได้อย่างดี บอกเล่าถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่มนุษย์อาจจะไม่ได้สูญพันธุ์ทันที แต่จะตกอยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์เพราะคนที่เหลือรอดอยู่มีจำนวนไม่มากนัก อีกด้านหนึ่ง โลกที่ปราศจากมนุษย์อาจจะกลับเข้าสู่ภาวะฟื้นฟูตัวเองได้ดีก็ได้

ส่วนอีกประเด็กหนึ่งที่จะเห็นชัดเจนขึ้นในหนังฉบับ director's cut ซึ่งฉากจบจะเปลี่ยนจากที่บอกwxด้านบน แล้วกลายเป็นว่าพระเอกจะเข้าใจความต้องการของกลุ่มผู้ติดเชื้อที่บุกเข้ามาเพื่อชิงผู้ติดเชื้อที่พระเอกจับตัวมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นมนุษย์ที่ติดเชื้อไวรัสจนเปลี่ยนแปลงไปนั้น อาจจะไม่ใช่อาการป่วยไข้ แต่เป็นการวิวัฒนาการในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งฉากจบแบบนี้จะสอดคล้องกับนิยายต้นฉบับที่สุดท้าย พระเอกได้กลายเป็น 'ตำนาน' เพราะเขาเป็นมนุษย์ไม่กี่คนบนโลกที่ยังท้าสู้กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์นั่นเอง

อ้างอิงข้อมูลจาก

ประชาชาติ

ไทยรัฐ

Illustration by Waragorn Keeranan

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0