ใครที่ตามสถานการณ์โลกแบบละเอียดละออสักหน่อยคงจะเห็นตรงกันว่าการที่จีนหักดิบออกกฎหมายความมั่นคงยัดเยียดให้ฮ่องกงเสียเลยนั้น เพราะจีนเห็นว่าคุยกับโลกตะวันตกไม่รู้เรื่องแล้ว อีกฝ่ายจะขย้ำจีนท่าเดียวโดยเฉพาะเรื่องโรคระบาด
และไหนๆ กระแสลมมันพัดพาไปทางชาตินิยมอยู่แล้ว ก็ต่างคนต่างอยู่มันซะเลยแล้วกัน
ผู้เขียนเคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจีนจะหันมาพึ่งตลาดในประเทศมากขึ้น พึ่งโลกน้อยลง เรื่องนีสีจิ้นผิงพูดแล้ว ที่ประชุม "เหลียงฮุ่ย" ส่งซิกมาแล้ว และประชาชนจีนก็รับลูกกันบ้างแล้วด้วยการปลุกชาตินิยมด้านต่างๆ
ถ้าจีนชาตินิยมเรื่องค้าขายก็ดีไป แต่ถ้าชาตินิยมเรื่องการเมืองเกรงว่าจะเกิดการเผชิญหน้ากับชาติตะวันตกแน่ๆ
เพราะโรคระบาดมันจะทำให้นานาประเทศแกร่วอยู่กับตัวเองไปอีกนาน ค้าขายกับใครก็ลำบาก ชาติไหนค้าขายกับตัวเองยิ่งเร็วยิ่งดี จะไปพึ่งประเทศอื่นไม่รอดแน่ จีนได้เริ่มพึ่งพาตัวเองแล้วเพื่อรับมือกับแนวโน้มนี้ และรับมือกับ "สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด" (อย่างที่สีจิ้นผิงบอก) นั่นคือถูกรุมบอยคอต
จะเห็นว่าทรัมป์ขู่ตอบโต้ด้วยการจะถอนสถานะพิเศษของฮ่องกง หากทำจริงหลังจากนี้ฮ่องกงจะถูกกีดกันสารพัด และสหรัฐมีกฎหมายประชาธิปไตยฮ่องกงที่ผ่านออกมาเมื่อปีที่แล้วเพื่อหวังจะเล่นงานคนในรัฐบาลฮ่องกงและรัฐบาลจีนเต็มที่หากเบียดเบียน "ฝ่ายประชาธิปไตย"
แต่จีนบอกว่าถ้าจะทำแบบนี้เดี๋ยวจะตอบโต้ให้สาสมพอๆ กัน
หลังจาก 2 ฝ่ายประกาศชนกันเต็มที่ ชาวโลกก็เฝ้ารอดูกันว่ารถสองคันที่กำลังตะบึงเข้าใส่กันเพื่อวัดใจ คันไหนจะหักเลี้ยวหนีก่อน
ปรากฎว่าทรัมป์ออกอาการเป๋ก่อนจะขึ้นเวทีเสียอีก
เมื่อวันศุกร์ทรัมป์แถลงข่าวที่ทำเนียบขาวแต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะเล่นงานฮ่องกงอย่างไรหรือเมื่อไร เพียงแต่บอกว่าจะมี "ข้อยกเว้นเล็กๆ น้อยๆ"
พอทรัมป์เกิดอาการแหยงขึ้นมา ตลาดหุ้นก็โล่งใจในทันทีดังจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นในสหรัฐบวกขึ้นมา ส่วนเอชียเปิดตลาดวันจันทร์ก็ค่อนข้างดีทีเดียว แสดงว่าตลาดพอจะจับอาการของทรัมป์ได้แล้วว่า "ไม่แน่จริง"
บางคนคิดว่าการที่เกิดจลาจลเรื่องเหยียดผิวในสหรัฐจะทำให้ทรัมป์หักพวงมาลัยหนีจีน แต่ผู้เขียนคิดว่าตรงกันข้าม จลาจลพวกนี้เกิดบ่อยในสหรัฐระยะหลังเกิดปีเว้นปี แต่รัฐบาลก็ทานทนด้านชาเสียเหลือเกิน ยื้อจนม็อบเลิกกันไปเอง ยิ่ง "คนแบบทรัมป์" ด้วยแล้วเขาไม่แยแสปัญญานี้เอาเลย
ความสนใจของทรัมป์จะยังอยู่ที่ฮ่องกงและจีน เรื่องในประเทศเคลียร์ได้แน่นอน เพราะใหญ่กว่านี้ก็เจอมาแล้ว
ภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ม็อบในบ้าน แต่เป็นจีน เราจะเห็นว่าพันธมิตรของสหรัฐขยับเรื่องต่อต้านจีนกันถี่ขึ้นและถ้าใครตาดีจะเห็นความเคลื่อนไหวในการฟอร์มพันธมิตรเล่นงานจีนที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนต่อให้สหรัฐใช้วิธีรุนแรงปราบม็อบ จะไม่มีพันธมิตรหน้าไหนวิจารณ์สหรัฐ เรื่องแบบนี้รู้ๆ กันอยู่ ตัวอย่างเช่นญี่ปุ่นที่กังวลที่จีนออกกฎหมายความมั่นคงฮ่องกง แต่ญี่ปุ่นไม่ได้ห่วงชีวิตกับคนผิวดำและสิทธิมนุษยชนในสหรัฐเลย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กยังวิเคราะห์ว่าญี่ปุ่นจะยอมให้ไทยเข้าประเทศได้ในเร็วๆ นี้ แต่จะไม่ปล่อยให้จีนเข้ามาเพราะเกรงใจสหรัฐ กลัวสหรัฐจะโวยวาย เพราะพี่ใหญ่กำลังจ้องจะเอาผิด (หรือโยนความผิดที่ตัวเองล้มเหลว?) ให้กับจีนเรื่องโรคระบาด
อนาคตของฮ่องกงนั้นขึ้นอยู่กับเมตตาของสหรัฐกับจีนถ้าสหรัฐหักดิบตัดสถานะฮ่องกง ฮ่องกงก็เตรียมกลายเป็น "จีนแดง" ได้เลย แต่ถ้าสหรัฐยังกลัวเสียมากกว่าได้ ฮ่องกงก็อาจ "ชิลๆ" กับเสรีภาพไปได้อีกสักพัก
เราจะเห็นได้ว่าเบื้องต้นทรัมป์อาจจะยังเสียดายฮ่องกงจึงไม่ยอมทำอะไรบุ่มบ่ามหรือไม่ก็ยอมกลืนน้ำลายตัวเองด้วยซ้ำ
เรื่องนี้จีนน่าจะรู้แกวจึงแซะสหรัฐว่าชอบทำอาการชักเข้าชักออกเรื่องจะถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก เหมือนจีนจะตีวัวกระทบคราดว่า"ถ้ากล้ากับฮ่องกงก็เอาเลย"
แต่เราต้องจับตาให้ดีเพราะรัฐบาลสหรัฐประกาศขายแมนชั่น 6 แห่งในฮ่องกงมูลค่า 645 ล้านเหรียญสหรัฐ การประกาศขายนี้มีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทรัมป์ขู่ที่จะตัดสถานะพิเศษของฮ่องกง แม้ทรัมป์จะยังไม่กล้าตัดในตอนนี้
แต่การขายคฤหาสน์ 6 หลังน่าจะเป็นการถอนทัพยกแรกออกจากที่นี่
แล้วจีนจะทำอย่างไรกับฮ่องกง?
ฮ่องกงนั้นเปรียบเหมือนประตูเงินประตูทองของจีน แต่ก็เป็นแผลปากเปิดรอให้ฝ่ายต้องข้ามมาจิ้มให้เจ็บแล้วเจ็บอีก ดังนั้นจีนจะไม่ละล้าละลังปล่อยให้ฮ่องกงวุ่นวายอีก
ตอนนี้จีนเข้าโหมดเก็บตัวเตรียมรับแรกกระแทก อะไรๆ ที่เคยทำกับสหรัฐมาก่อน จีนจะเลิกทำหรือลดลง
ในวันที่ตลาดหุ้นดีดรับอาการใจฝ่อของทรัมป์เรื่องฮ่องกงจีนก็มีคำสั่งให้รัฐวิสาหกิจต่างๆ หยุดซื้อผลิตภัณฑ์เกษตรจากสหรัฐ รวมถึงถั่วเหลืองซึ่งจีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ทำให้คนกลัวกันว่าข้อตกลงระงับสงครามการค้าเฟสที่หนึ่งทำท้าจะไปไม่รอดเสียแล้ว
แต่คนไม่รอดท่าจะเป็นทรัมป์ด้วย เพราะจีนเล่นถูกจุดเข้าจังๆ
สงครามการค้าทำให้ภาคเกษตรสหรัฐสาหัสเพราะจีนลดนำเข้า ผู้ปลูกถั่วเหลืองที่เคยเลือกทรัมป์ตอนเลือกตั้งต่างโอดครวญไปตามๆ กัน มาตอนนี้ถึงกับสั่งเลิกนำเข้ามีแววว่าทรัมป์จะเสียคะแนนเสียจากกลุ่มนี้ชัวร์แล้ว
ถั่วเหลืองไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เป็นสินค้าเกษตรสำคัญของสหรัฐ และจีนก็นำเข้าจากสหรัฐปริมาณมหาศาลถึง 62% ของปริมาณส่งออกทั้งหมดเมื่อปี 2016 พอเกิดสงครามการค้าลดเหลือ 18% ในปี 2018 เรียกว่าลดลงถึง 75%
นี่คือการแสดงพลังของตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีน ถ้าสหรัฐคิดจะเดิมพันกับตลาดนี้ จีนก็พร้อมแล้ว
ถามว่าทรัมป์พร้อมไหม? ท่าทีของเขาดูเหมือนจะไม่พร้อมแต่คนในรัฐบาลบอกว่าทรัมป์พร้อมรับความท้าทายนี้
ตอนนี้รัฐบาลสหรัฐยังมีไพ่อีกใบคือการขู่ไม่รับนักศึกษาจีนเข้ามาเรียนโดยไมค์ พอมพีโอรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอ้างว่านักศึกษาจีน "ไม่ควรเข้ามาสอดแนมในโรงเรียนของเรา" โดยเฉพาะนักศึกษาที่มีสายสัมพันธ์กับรัฐบาลจีน
เรื่องนี้ทรัมป์ทำจริงด้วยการออกคำสั่งระงับนักศึกษาปริญญาโทชาวจีนไม่ให้เข้ามาเรียนต่อในสหรัฐ
แต่วงการวิชาการไม่เห็นด้วยอย่างแรง เพราะนักศึกษาจีนทำรายให้สหรัฐถึง 4.5 หมื่นล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ยุทธศาสตร์ถือว่าทรัมป์เดินเกมส์ขั้นเด็ดด้วยความจำเป็น เพราะสหรัฐเจอปัญหาสายลับจีนแทรกแซึมเข้าในสถาบันต่างๆ มาหลายปีแล้ว
ไพ่อีกใบคือสหรัฐเตรียมจะสั่งห้ามทำธุรกิจกับบริษัทที่เกี่ยวพันกองทัพจีน เรื่องนี้เราจะต้องจับตาให้ดีเพราะบริษัทจีนหลายแห่งเกี่ยวพันกับรัฐบาลและกองทัพ อาจจะโดนข้อหาเดียวกับหัวเหวยเอาง่ายๆ
ไพ่ของสหรัฐเป็นการปกป้องตัวเองจากการแทรกซึมของจีน แต่มันจะบีบให้จีนปิดตัวเองไปเรื่อยๆ และเคร่งครัดกับฮ่องกงมากขึ้น
และสหรัฐต้องแลกมาด้วยความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่นี่คือราคาที่จีนและสหรัฐต้องจ่ายในการทำสงครามเย็นครั้งใหม่
Photo by ISAAC LAWRENCE / AFP