โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

พิพัฒน์ รัชกิจประการ: ปรัชญาชีวิต ธุรกิจ และความหวังมากมายของรัฐมนตรีคนใหม่ในวัย 64

a day BULLETIN

อัพเดต 22 ก.ย 2562 เวลา 23.13 น. • เผยแพร่ 22 ก.ย 2562 เวลา 23.13 น. • a day BULLETIN
พิพัฒน์ รัชกิจประการ: ปรัชญาชีวิต ธุรกิจ และความหวังมากมายของรัฐมนตรีคนใหม่ในวัย 64

ฟ้าครึ้มฝนแต่เช้า บนถนนลาดยางทอดยาวแยกออกจากถนนหลวง นำพาพวกเราขับรถต่อไปอีกเพียงไม่กี่อึดใจ ก็เห็นรถราและผู้คนค่อยๆ หนาตาขึ้น เมื่อเข้าสู่เขตโฮมสเตย์ไทรน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

        ข้าราชการท้องถิ่นและเหล่าชาวบ้านอยู่ในชุดไทยสีสันฉูดฉาด มายืนชะเง้อชะแง้รอคอยการมาถึงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาคนใหม่ พิพัฒน์ รัชกิจประการ ในวัย 64 หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจากธุรกิจปั๊มน้ำมัน PT นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอีกหลากหลาย เขาตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งและได้ประกาศนโยบายชัดเจนอันดับแรกสุด คือเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน เขามาโฮมสเตย์แห่งนี้เพื่อพาคณะจากส่วนกลางมาเยี่ยมชมการดำเนินงาน และนำไปใช้เป็นต้นแบบสำหรับชุมชนอื่นๆ อีกทั่วประเทศ

        ถ้าดูเพียงผิวเผินด้วยอคติแบบคนเมืองอย่างพวกเรา a day BULLETIN หนึ่งในทีมสื่อมวลชนที่ลงพื้นที่ไปร่วมทำข่าว ก็จะเข้าใจว่าพิธีรีตองในการต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองแบบนี้ ช่างล้าสมัย แสนเชย น่าเบื่อหน่าย จนกระทั่งเมื่อเราได้เดินตามรัฐมนตรีไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้านทีละคนๆ ลงไปสัมผัสรายละเอียดในชีวิตพวกเขา

        คนหนึ่งสอนทำขนม คนหนึ่งสอนทำอาหาร คนหนึ่งสอนนวดแผนโบราณ ฯลฯ ในแววตาและน้ำเสียงของพวกเขาไม่ได้ล้าสมัย เชย น่าเบื่อหน่ายอย่างที่เราด่วนตัดสิน แต่มันเต็มไปด้วยพลังขับดันจากภายใน ที่ต้องการลุกขึ้นมากำหนดชะตาชีวิตและทิศทางการพัฒนาชุมชนของพวกเขา ให้เจริญรุดหน้าไปด้วยน้ำมือของตัวเอง

        ดังนั้น นอกจากรัฐมนตรีจะยื่นโจทย์เรื่องการพัฒนาการท่องเที่ยวไปให้ชาวบ้าน ชาวบ้านก็ยื่นโจทย์ด้านงบประมาณ การพัฒนาสาธารณูปโภค การเดินทาง และสิ่งก่อสร้าง รวมถึงเรียกร้องการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมชื่อเสียงออกไปสู่ระดับนานาชาติ กลายเป็นการบ้านกองโตย้อนกลับมาให้รัฐมนตรีและทีมงานต้องหอบกลับมาทำ บนรถตู้ระหว่างการเดินทาง

        รัฐมนตรีพิพัฒน์บอกกับเราว่า ในโลกยุคใหม่ การพัฒนาต้องดำเนินไปแบบนี้ มันจึงเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง แบบที่เป็นการกระจายทรัพยากรมุ่งตรงไปสู่ฐานราก เพื่อสร้างการพัฒนาขึ้นมาเป็นจุดๆ แล้วค่อยๆ เติบโต ขยายสาขากิ่งก้าน โอบล้อมคืบคลานเข้าสู่ศูนย์กลาง เปรียบเหมือนกับการสร้างป่าล้อมเมือง นี่คือยุทธวิธีที่เขายึดถือและเคยทำได้สำเร็จมาแล้วกับธุรกิจของเขา และถ้าจะว่ากันอย่างถึงที่สุด มันคือแก่นแกนของทั้งชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้

        จากเด็กชาวบ้านในต่างจังหวัด ฟันฝ่าความยากลำบาก ปลุกปั้นธุรกิจของครอบครัวจากธุรกิจในระดับจังหวัด กลายเป็นระดับภูมิภาค จนกลายเป็นธุรกิจใหญ่ระดับประเทศ และก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง จนในที่สุดก็ขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรี

        เราติดตามเขาไปตลอดบ่ายวันนั้น เฝ้าดูการทำงานร่วมกับชาวบ้าน และได้พูดคุยสอบถามถึงวิธีคิดเบื้องหลัง ปรัชญาชีวิตและการทำงานที่เขายึดถือ เขาบอกเล่าเรื่องราวความหลังมากมายในชีวิตวัยเด็ก และแบ่งปันความฝัน ความหวังมากมายในวัย 64 ให้เราได้ฟัง อย่างที่ไม่เคยเปิดเผยกับสื่อใดมาก่อน

 

พิพัฒน์ รัชกิจประการ
พิพัฒน์ รัชกิจประการ

การที่ได้มาเยี่ยมชุมชนและพบปะกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในชุมชนวันนี้ ทำให้คุณมีความมั่นใจในนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาลนี้มากขึ้นไหม

        วันนี้ทีมงานเรามาเยี่ยมชมโฮมสเตย์ไทรน้อย ทำให้ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่านโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวระดับชุมชนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ กระจายรายได้ และทำให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้น ตอนนี้พวกเขามีความเข้มแข็งอยู่แล้ว ผู้นำชุมชนที่นี่เข้มแข็งจริงๆ ภาครัฐอย่างพวกเราเข้ามาช่วยสนับสนุน ซักถามความต้องการเพิ่มเติมว่าพวกเขายังต้องการอะไร มีสิ่งใดที่ขาดเหลือที่จะช่วยพัฒนาและยกระดับมาตรฐานบริการท่องเที่ยวของที่นี่

        สิ่งที่ผมสนใจอย่างมากก็คืออัตลักษณ์ของท้องถิ่น ในบ้านเราแต่ละชุมชน แต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน ซึ่งนี่ก็ทำให้ทุกแห่งล้วนมีเรื่องราวที่น่าสนใจ ถ้าเราได้นำออกไปเผยแพร่ให้คนทั่วไปรับรู้ก็จะยิ่งช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวระดับชุมชนได้มากขึ้นอีก ผมเชื่อว่าแนวโน้มในอนาคตอันใกล้ การท่องเที่ยวชุมชน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จะบูมขึ้น และจะเป็นแหล่งรายได้เข้าประเทศ สร้างเงินหมุนเวียนภายในประเทศได้อีก

        งานที่กระทรวงเราต้องเร่งทำ ก็คือต้องช่วยส่งเสริมให้ทุกชุมชนมีบริการการท่องเที่ยวแบบนี้ ส่วนที่มีโฮมสเตย์อยู่แล้วก็ช่วยทำให้เขาน่าสนใจและได้มาตรฐาน มาลงทะเบียนกับเราให้มากขึ้น เท่าที่ผมมีข้อมูลตอนนี้ โฮมสเตย์ท่องเที่ยวชุมชนมีมาลงทะเบียนกันแล้ว 300 กว่าแห่งทั่วประเทศ เราต้องเร่งพัฒนาให้มีจำนวนมากขึ้นไปอีกและมีมาตรฐานสูงขึ้นอีก ผมบอกกับกรมการท่องเที่ยวว่าเราต้องเร่งทำตัวเลขสถิตินี้ให้เพิ่มสูงขึ้น ตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีนี้ เราควรจะมีโฮมสเตย์ท่องเที่ยวชุมชนถึง 600 แห่งที่มาลงทะเบียนและมีมาตรฐาน แล้วอีกภายใน 2 ปีข้างหน้า เราจะเพิ่มขึ้นให้ได้เป็น 1,500 โฮมสเตย์ทั่วประเทศ ครบทุกภูมิภาค วันหน้าจะช่วยกระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็วและได้ผลชัดเจนมาก

        นอกจากเรื่องอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของท้องถิ่นแล้ว ผมว่าอีกเทรนด์หนึ่งที่น่าสนใจคือ Wellness เราพัฒนาโฮมสเตย์ให้สามารถมีบริการเรื่อง Wellness หรือสุขภาพทางเลือก ก็จะยิ่งทวีความน่าสนใจให้กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่โฮมสเตย์ไทรน้อยที่เรามาดูก็เห็นว่าเขามีบริการ Wellness เป็นการนวดแผนไทยแบบพื้นเมืองอยุธยาเลย มีอุปกรณ์การนวดทำเป็นสินค้าของที่ระลึกขายให้นักท่องเที่ยวที่มาเข้าพัก เรื่อง Wellness จะเป็นเทรนด์สำคัญของการท่องเที่ยวและมีมูลค่าการตลาดสูงมากขึ้นไปอีก ผมหวังว่าจะลองพัฒนาโฮมสเตย์ต้นแบบที่เน้นบริการ Wellness สักสองสามแห่งเป็นอันดับแรก เพื่อจะให้โฮมสเตย์อื่นได้พัฒนาตามแนวทางนี้ไป ทีมเราวางแผนว่าจะไปดูงานที่ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีโฮมสเตย์ที่ให้บริการนี้อยู่แล้ว และก็ได้ข้อมูลจาก ททท. ว่าทางชุมพรก็มีโฮมสเตย์แนว Wellness ให้บริการ

นโยบายพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนน่าจะช่วยกระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่น และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ใช่ไหม

        ถูกต้องเลย ตอนนี้มีคนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่ามีนโยบายส่งเสริมหรืออัดฉีดไปถึงแค่บริษัทใหญ่ๆ และกลุ่มชนชั้นนำของประเทศเท่านั้น แล้วก็บอกว่าชาวบ้านท้องถิ่นจะไม่ได้อะไรจากนโยบายอัดฉีดของรัฐบาลเลย ซึ่งจุดนี้นี่แหละที่ทำให้รัฐบาลต้องเร่งพัฒนาชุมชนท้องถิ่น กระจายโอกาสลงสู่รากหญ้า การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกระจายโอกาส ถ้าชุมชนได้ ก็เท่ากับเราทุกคนในประเทศได้กันหมด

        เมื่อเราพัฒนาชุมชนให้แข็งแกร่ง ชาวบ้านก็จะมีสินค้าและบริการที่ดีขึ้น นักท่องเที่ยวต่างชาติก็อยากเข้ามาเยี่ยมชมกันมากขึ้น เราชาวไทยเองก็จะได้เที่ยวในประเทศให้มากขึ้น เศรษฐกิจหมุนเวียนได้คล่องตัว ผมหวังว่าถ้าข้อมูลข่าวสารได้กระจายออกไป เราอยากให้นักท่องเที่ยวได้ลองมาเปิดประสบการณ์เที่ยวในชุมชน แทนที่จะอยู่แต่แหล่งท่องเที่ยวเดิมๆ ในเมืองหลัก หรือในแหล่งช้อปปิ้งของกรุงเทพฯ หรือมานอนโรงแรมหรูหราติดชายหาดเท่านั้น ซึ่งพวกเขาเคยมากันบ่อยแล้ว เราอยากจะให้พวกเขาบุกเข้าไปให้ลึกกว่านั้น บุกป่าฝ่าดงปีนเขา สัมผัสกับชาวบ้านในท้องถิ่น เรียนการปลูกข้าวดำนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านทำอยู่แล้ว แต่มันน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว 

        ประเทศไทยเราร่ำรวยไปด้วยวัฒนธรรม อัตลักษณ์หลากหลาย และธรรมชาติหลายรูปแบบ เราควรจะพัฒนาการท่องเที่ยวให้กระจายตัวออกไป ที่ผ่านมา ททท. เรียกนโยบายนี้ว่าเมืองรอง เรามีเมืองท่องเที่ยวหลักอยู่ 22 เมือง จะทำอย่างไรให้เงินจากนักท่องเที่ยวได้กระจายไปสู่อีก 55 เมือง ถ้าเรากระจายรายได้ออกไปได้สัดส่วน 50 กับ 50 ระหว่างเมืองหลักกับเมืองรอง ผมถือว่ารัฐบาลของนายกฯ ประยุทธ์ประสบความสำเร็จเลย ว่าเราได้มุ่งเป้าไปสู่การท่องเที่ยววิถีชุมชนอย่างได้ผลแล้ว

คุณเองเป็นนักธุรกิจใหญ่ระดับประเทศ เพราะอะไรถึงให้ความสำคัญและหันมาสนใจเรื่องชุมชนและการกระจายโอกาส

        ถามแบบนี้ ผมก็ต้องขอเล่าเรื่องราวในชีวิตว่าโดยพื้นฐานครอบครัวของผมเองก็ไม่ใช่คนร่ำรวยมาจากไหน ผมเติบโตมาจากต่างจังหวัด คนต่างจังหวัดก็มีวิถีชีวิตเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย ผมเป็นคนหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สมัยเด็กๆ นับย้อนกลับไป 50 ปีที่แล้ว วิถีชีวิตเรียบง่าย และผมมีความสุขมาก เมื่อ 50 ปีที่แล้ว เมืองไทยเรายังบริสุทธิ์ บ้านผมทำสวนทำไร่ ปู่ผมเป็นพวกเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน เขามาตั้งรกรากอยู่ที่หาดใหญ่ เช่าที่ดินเพื่อทำสวนทำไร่อยู่ที่นั่น ท่านปลูกผักขาย สมัยก่อนเรายังไม่เคยใช้สารเคมี ปุ๋ยที่ดีที่สุดก็คือต้องไปตักอุจจาระคน อุจจาระสัตว์ตามบ้านชาวบ้าน เอามาหมักเป็นปุ๋ย เรียกว่านั่นคือผักออร์แกนิกขนานแท้เลยก็ว่าได้ และนั่นก็คือวิถีชุมชนที่บริสุทธิ์และน่าสนใจ คนสมัยนี้ไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัส เราเพิ่งกลับมาฮิตผักออร์แกนิกกันในช่วงนี้แหละ ทุกคนก็อยากลองปลูก อยากลองมีชีวิตเรียบง่ายแบบนั้น นี่แหละคือความน่าสนใจของการท่องเที่ยววิถีชุมชน ผมมีชีวิตแบบนั้นมาก่อน แล้วผมก็อยากนำกลับมา

        จำได้แม่นเลยว่าตอนเด็กๆ พอเข้าฤดูฝนฤดูทำนา พวกเราจะดีใจ วิ่งลงไปในท้องนาเพื่อจับปลา ในฤดูน้ำหลากเราจะได้ปลาหมอปลาช่อนมากินกันทุกวัน แต่ในทุกวันนี้ถ้าคุณเห็นนาที่ไหน ลองเดินลงไปคุณจะไม่เจออะไรเลย เพราะอะไร ก็เพราะวิถีชีวิตเราเปลี่ยนไป แล้วเราหันไปพึ่งพาปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช ทำให้ปลาน้อยใหญ่ไม่เหลือแล้ว ซึ่งถ้าเรานำวิถีชีวิตแบบเก่า คุณค่าเก่าๆ แบบนั้นย้อนกลับมา เราส่งเสริมให้ชาวบ้านดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนและหารายได้เพิ่มจากการท่องเที่ยวเข้ามา ก็จะยิ่งเป็นผลดีกับเขาจริงไหม

         คุณค่าเก่าๆ และวิถีชีวิตชุมชนที่ยังดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน นั่นแหละที่น่าส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยว เพราะมีคุณสมบัติที่ดีสำหรับการท่องเที่ยวอย่างครบถ้วน คุณลองคิดดูนะ สถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวปรารถนาควรจะมีอะไรบ้าง 1. ความปลอดภัย 2. ธรรมชาติที่ยังสะอาด 3. จิตใจของชาวบ้านที่บริสุทธิ์ ไม่เอารัดเอาเปรียบเขา และ 4. คือการพัฒนาอย่างยั่งยืน คุณสมบัติเหล่านี้นักท่องเที่ยวต้องการอย่างมาก และเขาจะหาได้ถ้าเรานำคุณค่าเก่าๆ กลับมา

สงสัยว่าคุณค่าเก่าๆ เหล่านี้สูญหายไปจากสังคมไทยตอนไหน มันเกิดอะไรขึ้นในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเราทุกคน

        เป็นคำถามที่น่าสนใจ แบบนี้ผมต้องย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ผมคิดว่าความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยครั้งใหญ่เกิดขึ้นตอนที่เรากำลังจะก้าวจากสังคมเกษตรไปเป็นสังคมอุตสาหกรรมแบบเต็มตัว น่าจะเป็นช่วงปี 2535 เป็นต้นมา ที่เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เราเคยจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย เราเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในช่วงนั้นแหละ มีการเปิดเสรีในหลายๆ ด้านเพื่อเปิดรับโอกาสจากนอกประเทศ แต่น่าเสียดายที่เราต้องมาติดหล่มตอนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เป็นต้นมา นั่นเป็นจุดตายของธุรกิจที่เพิ่งเกิดขึ้นในตอนนั้น ทำให้เราพัฒนาต่อไปไม่ได้ต้องติดหล่มอยู่ตรงนั้น

        จากความฝันอันยิ่งใหญ่ สมัยนั้นเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นเยอะมาก รถเก๋งคันใหญ่ๆ ขายดี เราได้เสพความสุขกันเยอะจนเคยตัว สิ่งสำคัญคือเราได้รู้ว่าดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศนั้นต่ำมาก เราก็เลยยิ่งกู้กันเข้ามาเยอะ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ติดหล่มตรงจุดนั้น กว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาได้ก็ต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบกว่าปี

 

พิพัฒน์ รัชกิจประการ
พิพัฒน์ รัชกิจประการ

ปัญหาเศรษฐกิจตอนนั้น ทำให้คุณค่าเก่าๆ สูญหายไปตั้งแต่นั้นมา

        ก็ถูกต้องส่วนหนึ่ง หลักๆ ก็คือเราถูกทำให้ฟุ้งเฟ้อและมีความฝันที่ใหญ่โตเกินไป เราต้องรีบพัฒนาอย่างนั้นอย่างนี้ มันเร็วจนกระทั่งลืมไปว่าพื้นฐานเราไม่แข็งแรง และเราแตกต่างจากชาติตะวันตก แตกต่างจากญี่ปุ่น ในช่วงจังหวะที่เราล้ม ประเทศอื่นๆ ก็พากันล้มตามๆ กัน สิ่งที่น่าสังเกตก็คือประเทศเกาหลี เขาก็มีปัญหาเศรษฐกิจอันต่อเนื่องไปจากเรา แต่มาถึงทุกวันนี้เขาไปได้ไกลกว่าเรามาก ไปไกลถึงขนาดที่เราคิดไม่ถึงเลย นี่แหละคือเหตุผลที่เราจำเป็นจะต้องมีทิศทางและนโยบายที่ชัดเจนจริงๆ

        อีกจุดที่น่าสนใจคือในขณะที่นักพัฒนา นักธุรกิจ สถาบันการเงินต่างๆ ล้มระเนระนาด แต่สิ่งที่ดำรงต่อมาและยั่งยืนได้คือวิถีชีวิตชุมชน นี่คือสิ่งที่น่าทึ่งและเราทุกคนควรจะได้มาเรียนรู้ ลองเข้าไปรับประสบการณ์จากพวกเขาดู ผมเชื่อว่าเราสามารถรักษาวิถีเกษตรและวิถีชีวิตชุมชนเอาไว้ เพื่อเป็นทางเลือกและเป็นพื้นฐานของสังคมของเราต่อไป

ตอนนี้ยังทันเวลาใช่ไหมที่เราจะกลับมาฟื้นฟูดูแล

        ไม่มีอะไรที่สายเกินไปหรอก ผมคิดว่ารัฐบาลนี้มองเห็นคุณค่าเก่าๆ และพยายามดำเนินนโยบายนำคุณค่าเหล่านั้นกลับมาพัฒนาต่อ อย่างนโยบายการท่องเที่ยวชุมชน เหตุผลก็ไม่ใช่เพียงแค่การกระจายรายได้ เราไม่ได้ให้เขาฟุ้งเฟ้อ แต่เราเชื่อในคุณค่าแบบนี้ แล้วหวังว่าสิ่งนี้จะดำรงอยู่ต่อไป โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าไปเสริมเท่านั้น

        ยกตัวอย่างเมืองชายทะเล เราไม่ได้มีแค่ภูเก็ต สมุย เรามีชายทะเลยาวเหยียด และตลอดทางนั้นก็มีวิถีชีวิตชุมชนที่หลากหลาย จากฝั่งอ่าวไทยเรามีตั้งแต่ชุมพรไปถึงนราธิวาส ยาวประมาณ 1,000 กิโล เรามีจังหวัดตรัง จังหวัดสตูล ซึ่งผมอยากให้คุณลองไปเที่ยวสตูล คุณเคยไปหรือยัง ถ้าเคยไปก็จะเข้าใจว่าทะเลไทยของเราหลากหลายแตกต่าง แต่ละชุมชนมีอัตลักษณ์ของเขา คุณไปเที่ยวแต่ละที่ก็มีความแตกต่างกัน

        ผมคิดถึงตะรุเตา คิดถึงหลีเป๊ะ ที่นั่นยังมีวิถีชีวิตชุมชนดีๆ มีการท่องเที่ยวที่บริหารจัดการอย่างยั่งยืน ชาวบ้านมีความเข้มแข็งดูแลกันเอง น้ำทะเลยังคงใส มีปลาการ์ตูนแหวกว่ายอยู่เหมือนเดิม ทุกๆ เช้าเขาจะผลัดกันเดินตรวจชายหาด ถ้ามีขยะอยู่หน้าร้านอาหารของใคร คนนั้นก็จะโดนปรับ ถ้ามีขยะอยู่หน้าโรงแรมใคร โรงแรมนั้นก็โดนปรับด้วยเช่นกัน ชุมชนต้องแข็งแรง ช่วยกำกับดูแลกันเอง รักษามาตรฐาน รักษาสิ่งแวดล้อม มีความยั่งยืน แบบนี้แหละคือการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและจะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพเข้ามา รายได้ก็จะกลับมาชุมชนได้เอง

ทุกวันนี้ คุณเองใช้ชีวิตหรูหรา ไปท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวแพงๆ หรือเปล่า

        อันนี้คือตอบโดยส่วนตัวของผมคนเดียวนะครับ ใครๆ ก็เห็นผมร่ำรวยเป็นนักธุรกิจ แต่ตัวจริงผมเป็นคนเงียบๆ มาตลอด ดำเนินชีวิตแบบติดดิน โดยปกติแล้วผมไม่เปิดเผยตัวเองด้วยซ้ำ ไม่ค่อยได้ออกข่าวหรือให้สัมภาษณ์มาก่อน เรียกได้ว่าไม่ค่อยมีใครรู้จักผมเป็นการส่วนตัวนักหรอก ถึงขนาดที่ว่าพอประกาศชื่อผมเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีคราวนี้ สื่อหลายเจ้าก็พยายามหาข้อมูลและรูปภาพของผมมาลงกัน กลายเป็นว่าพวกเขาไปเอารูปผิดคนมาลง คือเป็นชื่อของผม แต่เป็นรูปภาพของน้องๆ อีกสามคนสลับกันไปสลับกันมา นักข่าวงงกันหมด ผมเป็นคนแบบนี้มาตลอด จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะมาดำเนินนโยบายที่ติดดิน ลงมาดูแลงานระดับชุมชน

        โชคดีที่ในวัยเด็กเราใช้ชีวิตแบบนี้มา เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตแบบบ้านๆ มันสนุกและมีความสุขมากๆ ผมต่อสู้มาด้วยตัวเอง สร้างรากฐานธุรกิจขึ้นมาด้วยตัวเอง ที่มีมาในทุกวันนี้ก็อยู่บนรากฐานของชีวิตแบบบ้านๆ ในวัยเด็ก

        ผมสร้างตัวเองมา 20-30 ปี จนตอนนี้ก็สบายใจแล้วเพราะมีน้องชายมาสานต่อให้ ก็มีเวลามาทำงานด้านการเมือง ธุรกิจของครอบครัวเรามีรากฐานจากต่างจังหวัด ค่อยๆ เติบโตขยายสาขา และใช้กลยุทธ์แบบป่าล้อมเมือง จนกระจายเข้ามาสู่กรุงเทพฯ ต้องบอกว่าพวกเราไม่ลืมกำพืดตัวเอง เราเป็นชาวบ้าน เราจึงดำเนินนโยบายแบบนี้ได้อย่างถนัด

        ผมเป็นลูกแม่ค้าขายของในตลาด บทเรียนสำคัญในชีวิตก็คือการขายของแต่ละชิ้น การเก็บเงินแต่ละบาทมันช่างยากเย็น เราต้องจดจำชีวิตแบบนั้นให้ขึ้นใจ พอโตมาแล้วไปทำอะไรก็จะได้ไม่หลงทาง เหมือนคำโบราณท่านว่า เป็นคนอย่าลืมตัว เป็นวัวอย่าลืมตีน ถ้าเราลืมคุณค่าที่ดีในอดีต อนาคตเราจะไปต่อไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเมื่อคุณขึ้นมานั่งในตำแหน่งที่สูงขึ้น จะมีเงื่อนไขมากมายถาโถมเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่จะทำให้เราหลงตัวและหลงทาง อย่างผมเองพอมาเป็นรัฐมนตรี ก็จะมีผู้คนเข้ามาขอพบ เพราะใครๆ ก็อยากจะเข้ามาใกล้ศูนย์กลางอำนาจ ซึ่งผมก็เปิดรับทุกคน ผมไม่ปฏิเสธที่จะคบกับใคร แต่หลังจากเราพบปะกันแล้ว ผมจะตัดสินใจทำอะไรก็ต้องยึดเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพราะเราไม่หลงตัว ไม่หลงทาง วัยเด็กที่ต่อสู้ทำให้รู้สึกเพียงพอแล้วกับสิ่งที่มีเท่านี้ ตอนนี้ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ นอกจากการได้ทำงานที่มีประโยชน์ อยากมีเรี่ยวแรงทำงานไปได้อีกสักพัก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสักกี่ปี เพราะตอนนี้ก็ 64 เข้าไปแล้วนะ

เราคุยกันเรื่องคุณค่าเก่าๆ และคนแก่ๆ คุณคิดว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นที่สนใจและทำตามสำหรับคนรุ่นใหม่หรือเปล่า

        (หัวเราะ) เรื่องนี้ต้องยอมรับจริงๆ เขาเรียกว่า generation gap ใช่ไหม ตอนนี้เรามีเจนวาย เรามีเจนแซด เขาไม่ได้คิดเหมือนพวกผมแล้ว ดูเอาง่ายๆ อย่างลูกๆ ของผม ผมมีลูก 3 คน ปีนี้ลูกชายคนโตอายุ 28 ความคิดเห็นของเราแตกต่างกันมาก ถึงขนาดต้องบอกว่าเป็นคนละขั้วเลย เขาบอกว่าพ่อไม่รู้เรื่องเลย แบบนั้นไม่ใช่ แบบนี้ไม่ใช่ ผมก็สอนเขาว่าเราเกิดมาคนละยุคกัน เงื่อนไขแตกต่างกัน มีชีวิตวัยเด็กต่างกัน พ่อตอนเด็กๆ ลำบากหาเงินเอง พวกลูกถึงสบายในทุกวันนี้และมีความคิดแบบนี้ได้

        ผมจึงเข้าใจความคิดของคนรุ่นใหม่ และมั่นใจว่าจะสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้ รวมถึงทำงานร่วมกันได้ ผมเชื่อว่าคนรุ่นผมควรจะเป็นฝ่ายปรับตัวไปหาคนรุ่นใหม่ การจะให้ลูกๆ ปรับตัวมาหาเราอาจจะยาก เพราะเขาไม่เคยเป็นผู้ใหญ่แบบเรา ในขณะที่เราเคยเป็นเด็กแบบเขามาก่อน เราจึงรู้ว่าพวกเขาคิดอะไร ทำไมถึงคิดแบบนี้ ทำแบบนี้ อย่างน้อยๆ ก็คือให้ลองดูพวกนักการเมืองที่เป็นคนรุ่นใหม่ ลองศึกษานโยบายของพวกเขาบ้าง มีหลายอย่างน่าสนใจ ทำให้เรารู้ว่าทำไมวัยรุ่นตอนนี้ถึงได้ถูกใจพวกเขา เราก็ได้นำมาเป็นบทเรียนในการทำงานของเราและปรับตัว

        ข้อดีของคนรุ่นเก่าก็คือเรามีประสบการณ์มามากกว่า เราทำงานนั้นๆ มาก่อนแล้ว ในขณะที่คนรุ่นใหม่นั้นมีความคิดน่าสนใจ น่าลองนำมาปฏิบัติ แต่พวกเขายังไม่เคยได้ปฏิบัติจริง จุดอ่อนจึงอยู่ตรงนั้น ในโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกในทฤษฎีวิชาการนั้นต่างกัน ถ้าเราได้มาร่วมมือกันก็จะดี คนแก่ๆ ควรจะโน้มตัวไปดูสิ่งใหม่ๆ บ้าง ถ้าเรารับฟังและช่วยเหลือเขาผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ก็จะเอนเอียงมาหาเราด้วยเช่นกัน

        ทุกวันนี้พวกเราก็คิดกันว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยดีขึ้น วางแนวทางต่างๆ เราอยากได้ไอเดียใหม่ๆ แล้วเราจะนำมาลงมือทำ เพื่อฝากทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง ผมเองตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งก็เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ให้สาธารณชนได้พิจารณากัน มีหลายมาตรการที่ถูกตีตกไป หลายคนหัวเราะเยาะ คุณก็คงเห็นตามหน้าสื่อแล้วว่าผมโดนอัดมาเยอะพอสมควรเลย แต่ไม่เป็นไรนะ เพราะผมอยากทำงานและอยากเสนอสิ่งใหม่ ในงานใดๆ ก็ตามถ้าไม่มีอะไรใหม่เลย มันทำต่อไปไม่ได้หรอก เราต้องทดลอง ต้องปรับเปลี่ยน ต้องคิดนอกกรอบกันบ้าง

อย่างเรื่องที่จะให้ปิดสถานบันเทิงตีสี่ใช่ไหม

        ใช่ๆ (หัวเราะ) นั่นผมโดนอัดกลับมาเยอะเลย แต่ผมเข้าใจนะ ก็ต้องนำคำวิจารณ์กลับมาพิจารณา และต้องศึกษาทบทวนให้ถี่ถ้วนกว่านี้ รวมถึงต้องหาแนวร่วมเข้ามาทำงานด้วยกันให้มากกว่านี้ ถ้าทำงานอะไรแล้วไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง งานก็จะเดิมๆ ซึ่งมันจะไม่ได้ผลเหมือนเดิมแล้ว

        การจะทำให้คนในสังคมเดินหน้าไปร่วมกัน คนอายุ 60 กว่าอย่างผม 40 กว่าอย่างคุณ และ 20 กว่าอย่างลูกผม จะนำพาประเทศไปด้วยกันได้อย่างไร ก็นี่ไงครับ เราต้องหาอะไรใหม่ๆ มาทำด้วยกัน ทีมงานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนะ เราต้องรู้จักหาทีมงานที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมงานที่แตกต่างจากเรา อยากให้เป็นคนรุ่นใหม่อายุน้อยกว่าเรา เพื่อจะได้แชร์ความคิดเห็น แล้วก็ให้เรานำมาทำงานให้เกิดผลจริง เพื่อทิ้งเป็นผลงานไว้ให้คนรุ่นต่อไปมาสานต่อ

 

พิพัฒน์ รัชกิจประการ
พิพัฒน์ รัชกิจประการ

การเข้ามาทำงานในกระทรวง แตกต่างจากตอนเป็นนักธุรกิจอย่างไร

        งานหลักบางส่วนต้องพึ่งพาทีมงาน ซึ่งโชคดีที่เราได้ทีมงานเป็นคนรุ่นใหม่มาร่วมงานเยอะมาก รวมถึงข้าราชการในกระทรวง ที่นี่เรามีคนเก่งอยู่เยอะเลยนะ ทั้งหน่วยงานการท่องเที่ยวและหน่วยงานด้านการกีฬา ต้องยอมรับว่าพวกเขามีประสบการณ์มากกว่าผม และทำการบ้านหนักกว่าผมเยอะเลย เครดิตในการทำงานที่แท้จริงเราจึงต้องยกให้กับทีมงานและข้าราชการทั้งหมด ผมเป็นเพียงคนช่วยประสานและทำให้เกิดขึ้นจริง ข้าราชการนั้นเก่งกว่าและรู้ดีกว่าด้วย นี่พูดถึงในแง่งานประจำ งานรูทีน

        ผมเองเมื่อเข้ารับตำแหน่ง ก็นึกในใจว่าจะทำอย่างไรให้เราช่วยเสริมศักยภาพให้กับทีมงานและข้าราชการเหล่านี้ งานของเราจึงเป็นการเปิดมุมมองให้เขา และให้การทดลองไอเดียใหม่ๆ สร้างสิ่งแปลกๆ เข้ามา พูดตรงๆ ว่าถ้าเป็นราชการทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นงานรูทีน ดำเนินไปแบบเดิม แบบนี้คุณไม่ต้องมีนักการเมือง ไม่ต้องมีการหาเสียงจากประชาชนก็ได้ คนที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีจึงจำเป็นในจุดนี้ งานในกระทรวงมีกรอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว งานของรัฐมนตรีคือไปขยายกรอบนั้นให้กว้างขึ้น จุดประกายความคิด กระตุ้นแรงบันดาลใจ ผมเข้ามาก็พยายามทำจุดนี้ให้ดีที่สุด

        ตอนนี้ก็อย่างที่คุณๆ รู้กันว่าสถานการณ์เศรษฐกิจดูเหมือนซบเซา สังคมเรามีปัญหารุมเร้าหลายด้าน การท่องเที่ยวจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง การท่องเที่ยวเป็นการนำรายได้เข้าประเทศที่เราใช้ต้นทุนน้อยที่สุด เราใช้ธรรมชาติของเรา ทรัพยากรของเรา ชุมชนของเรา และทักษะของผู้คนให้เป็นประโยชน์ บรรพบุรุษลงทุนให้เราไว้มากมายแล้วในเรื่องของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตต่างๆ เพียงแต่ขอให้เรารักษาเอาไว้ สานต่อพัฒนาให้กลายเป็นสินค้าและบริการที่ยั่งยืน อย่าเพิ่งไปเปลี่ยนแปลงหรือทำลายมันลงตอนนี้เลย

ข้าราชการเกรงกลัวนักการเมืองแค่ไหนในยุคสมัยนี้

        ตั้งแต่เข้ามาทำงานได้เดือนเศษๆ ผมพูดตั้งแต่วันแรกที่เข้ากระทรวงว่า ขอให้ท่านรู้ว่าผมไม่มีพรรค ถึงแม้ผมจะเป็นนักการเมือง มาในนามพรรคการเมือง แต่ผมไม่ได้ทำงานให้พรรค ผมทำงานให้ประเทศ และในตอนนี้ผมมีแต่พวก ซึ่งก็หมายถึงพวกท่าน ขอให้พวกท่านมาเป็นพวกผม เราไว้ใจกัน วางใจกัน มันไม่มีหรอกที่ผมจะมาเบียดเบียน โยกย้ายเปลี่ยนแปลง ผมไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะผมรู้ดีว่าจะอย่างไรเสีย ผมก็มีความรู้ความสามารถในด้านนี้สู้พวกท่านไม่ได้ ข้าราชการเป็นเรี่ยวแรงสำคัญของประเทศ ขอให้เราทำงานร่วมกันให้ได้ สิ่งสำคัญของทีมคือความวางใจ

        ผมใช้หลักการทำงานแบบนี้มาตลอด ตอนที่ทำธุรกิจ ผมบริหารทีมงานทุกคนในบริษัท เราก็อยู่ด้วยกันด้วยความไว้วางใจ เชื่อใจกัน จะไม่มีใครทำร้ายใคร ไม่มีใครหักหลังใคร ทุกคนทำงานแบบไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เราจะเดินหน้าไปพร้อมกัน ผมชอบทำงานแบบเป็นทีม ไม่มีฮีโร่ ไม่เป็นวันแมนโชว์ ผมไม่เชื่อว่างานใหญ่ๆ งานสำคัญๆ จะสำเร็จได้ด้วยแรงคนคนเดียว ผมไม่เชื่อ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เพราะทุกฟันเฟืองในองค์กรจะต้องไปด้วยกัน ไม่ว่าเฟืองตัวใหญ่หรือเฟืองตัวเล็กก็ต้องไปด้วยกัน บริษัทของผมก็โตขึ้นด้วยวิธีการนี้ เราอยู่กันแบบพี่แบบน้อง

คุณจะสร้างการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตรวดเร็วแบบธุรกิจของคุณได้ไหม

        ธุรกิจปั๊มน้ำมัน เราใช้ยุทธวิธีป่าล้อมเมือง เรารู้ดีว่าเราเป็นบริษัทเล็กๆ เราพัฒนามาจากต่างจังหวัด คนส่วนใหญ่มองว่าปั๊มน้ำมัน PT ขยายจากทางภาคใต้ และคิดว่าเราเป็นธุรกิจภาคใต้ เพราะชื่อบริษัทภาคใต้เชื้อเพลิง แน่นอนว่าเรามีจุดเริ่มต้นมาจากทางภาคใต้ แต่จริงๆ แล้วเราขยายแบบป่าล้อมเมืองมาจากทางภาคอีสานเป็นหลัก เพราะอะไร ถ้าคุณดูสภาพภูมิประเทศจะพบว่าภาคใต้เป็นเส้นทางตรงเส้นเดียวลากลงมา แต่ภาคอีสานนั้นเป็นแผ่นดินใหญ่ มีถนนมากมาย เราสามารถขยายสาขาได้บนถนนเหล่านี้ เราเพิ่มสาขาในภาคอีสานได้เร็วกว่าและง่ายกว่า ปั๊มน้ำมันของเราจึงประสบความสำเร็จมาจากทางภาคอีสาน ต่อมาสู่ภาคกลาง แล้วขยายเข้ามาสู่เมือง

       อย่างไรก็ตาม การจะเอายุทธวิธีธุรกิจของผมมาใช้กับการทำงานในกระทรวง อาจจะทำไม่ได้จริง เพราะอะไร เพราะบริษัทเป็นของผมและบรรดาหุ้นส่วน เราตัดสินใจบริหารโดยยึดผลประโยชน์ของเราเอง ในขณะที่งานการเมืองและงานในกระทรวงเป็นเรื่องของคนไทยทั้งประเทศ เราต้องตัดสินใจบนผลประโยชน์ส่วนรวม เราจึงต้องมาฟังเสียงประชาชนในท้องถิ่น ต้องมาปรึกษางานกับข้าราชการและทีมงาน

        ยุทธวิธีจึงอาจจะไม่ใช่ป่าล้อมเมืองแบบเดิม แต่ยุทธวิธีคือการสื่อสารระหว่างส่วนบนและส่วนล่าง ผู้บริหารต้องฟังเสียงส่วนรวม ในขณะที่ผู้ปฏิบัติการและประชาชนก็ต้องผลักดันความต้องการของตัวเองขึ้นไป ทุกภาคส่วนจึงบูรณาการเข้าด้วยกัน ฝ่ายบริหารก็อัดฉีดเงินให้ผู้ปฏิบัติงานและชาวบ้านได้ใช้ทำงาน เราต้องทำงานไปพร้อมกัน ถึงจะสร้างความสำเร็จได้จริง

        ผมอยากให้เราทุกคนร่วมจับมือกันทำงาน การทำงานเป็นทีมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรารอดไปจากสถานการณ์ตอนนี้ แต่จริงๆ บางคนก็บอกว่าคนไทยเราทำงานเป็นทีมไม่เป็น นักกีฬาของเราที่ประสบความสำเร็จจึงเป็นประเภทกีฬาที่ต้องลงแข่งคนเดียว อย่างพวกมวย กอล์ฟ หรือยกน้ำหนัก ถ้าเป็นกีฬาประเภททีมเราจะสู้ชาติอื่นไม่ค่อยได้ อันนี้ก็เป็นความเชื่อที่พูดกันนะ อาจจะจริงนะครับ

อยากให้คุณเล่าถึงแผนการด้านการกีฬาด้วย

        ในปัจจุบัน กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาถือเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงจะเป็นการสร้างเม็ดเงินให้กับคนในพื้นที่ที่จัดงานท่องเที่ยวเชิงกีฬา ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคในพื้นที่ ส่วนทางอ้อม การจัดกิจกรรมกีฬาระดับโลกจะเป็นการช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและเป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก โดยเราได้กำหนดยุทธศาสตร์การใช้กีฬาแห่งโลกนำการท่องเที่ยวไทยสร้างเศรษฐกิจชาติ

        อย่างรายการที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกคือโมโตจีพี จัดที่จังหวัดบุรีรัมย์ ตอนนี้เราได้ทำการต่อสัญญาไปอีก 5 ปี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าจากการจัดแข่งขันรายการดังกล่าวทำให้จังหวัดบุรีรัมย์มีการเติบโตของผู้มาเยือนสูงสุด ประมาณร้อยละ 21 ดังนั้น ผมเห็นว่ารายการจัดแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก โมโตจีพี ที่ผ่านมาถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมการแข่งขันมากว่า 205,000 คน ก่อให้เกิดรายได้แก่ประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์และพื้นที่ใกล้เคียงมากกว่า 3,100 ล้านบาท

        ส่วนของอีสปอร์ต (Esports) ทางเรามีนโยบายที่จะสนับสนุน รวมถึงจัดการแข่งขัน ซึ่งผมเชื่อว่าเยาวชนไทยได้ให้ความสนใจในกีฬาชนิดนี้เป็นอย่างมาก ในเบื้องต้นได้พยายามหาแนวทางว่าจะทำอย่างไรให้เยาวชนไทยของเราได้เดินในแนวทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่เล่นเกม แต่ต้องมีวินัยในการเล่นเกมเพื่อจะได้พัฒนาไปเป็นนักกีฬาได้อีกด้วย และผมเชื่อว่าเด็กและเยาวชนของไทยเรามีความสามารถไม่แพ้ชาติใด ดังนั้น เราจึงควรสนับสนุนให้เป็นไปในทางที่ดีและถูกต้องสำหรับเด็กๆ และเยาวชนของเราต่อไป

        สำหรับมาราธอนนั้น เราจะเห็นได้ว่าเป็นกีฬาเพื่อความสุขและสุขภาพที่ดี เรามีนโยบายจะยกระดับการจัดแข่งขันวิ่งมาราธอนสู่มาตรฐานโลก ซึ่งประเทศไทยมีหลายรายการที่มีโอกาสยกระดับ เช่น ภูเก็ตธอน, กรุงเทพมาราธอน, บุรีรัมย์มาราธอน ฯลฯ รวมถึงไตรกีฬาและการวิ่งเทรลระดับนานาชาติ ซึ่งกำลังเป็นที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

        ทั้งนี้ การสนับสนุนนโยบายเหล่านี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างเข้มแข็ง มีเสถียรภาพโดยกำหนดแนวทางในการใช้กีฬาโลก เพื่อนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นศูนย์กลางด้านกีฬา ถือว่าเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวที่แตกต่างโดยใช้ทักษะในการจัดการขั้นสูง โดยการจัดงานดังกล่าวสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุกต่างชาติได้ รวมถึงเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นในพื้นที่จัดการแข่งขันได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้สนับสนุน ผู้จัด สมาคมต่างๆ นักกีฬา สื่อมวลชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย เพราะทุกฝ่ายล้วนแต่เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการขับเคลื่อนธุรกิจทางการกีฬาเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป

 

พิพัฒน์ รัชกิจประการ
พิพัฒน์ รัชกิจประการ

ทุกวันนี้โจทย์เรื่องการท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน

        คุณลองคิดดูนะ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั่วโลกเขารู้จักเมืองหลักๆ และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทยเราหมดแล้ว และส่วนใหญ่ก็เคยมาแล้วด้วย โจทย์ใหม่ของเราในวันนี้จึงเป็นการหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ขึ้นมา ชาวตะวันตกอะไรที่เขาเบื่อแล้วเขาก็ไม่กลับมาเที่ยวอีก เขาก็ย้ายไปเที่ยวประเทศอื่นกันแล้ว เรามาพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ด้วยการหาวิธีลงสู่ชุมชน หาวิธีออกไปเมืองรอง สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ เหล่านี้นั้นแตกต่างแน่นอน มันอาจจะไม่ใช่ที่ช้อปปิ้ง ไม่ใช่ที่เที่ยวราตรี ไม่มีแสงสีเสียงแบบเดิม มันจะมีรายละเอียดในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมมากขึ้น

        ภาคเหนือก็ไม่ได้มีแต่จังหวัดเชียงใหม่จริงไหม เราจึงมีหน้าที่ต้องชี้นำนักท่องเที่ยวให้เขาไปยังสถานที่อื่น และก็ไม่ใช่เพียงแค่ชี้นำ แต่เรายังต้องเข้าไปลงทุนพัฒนาสาธารณูปโภค ทำถนนหนทางให้ดี พัฒนาชุมชนให้แข็งแกร่งและยั่งยืน เพิ่มความสะอาดความปลอดภัยความคุ้มค่าความยั่งยืนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น

        เปรียบเหมือนกับการทำตลาดปั๊มน้ำมันที่เราไม่ใช่เจ้าหลักของประเทศ ทำอย่างไรให้ลูกค้าได้มาเริ่มลองใช้ปั๊มของเราแล้วเขาประทับใจ ผมคิดว่าหลักการก็คือทำอัตลักษณ์ของเราให้ชัดเจน ให้ลูกค้ารู้สึกถึงความแตกต่าง เปรียบได้กับแต่ละชุมชน แต่ละท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง และมันก็แตกต่างกันทั้งประเทศ นักท่องเที่ยวจะตระหนักถึงความแตกต่างนี้และตัดสินใจลองมาเที่ยวได้เหมือนกัน

ในฐานะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อยากรู้ว่าลาพักร้อนครั้งต่อไปจะพาครอบครัวไปเที่ยวที่ไหน

        (หัวเราะ) คงจะยากแล้วครับ ลาไม่ได้แน่ๆ พอมาทำงานตรงนี้เต็มตัวแล้วก็ต้องทำเต็มที่ ตั้งแต่ทำงานมาสองเดือนยังไม่ได้หยุดพักเลยสักวัน มีวันไปออกงานทั้งหมด เสาร์อาทิตย์ก็ไม่เว้นนะ แต่จริงๆ แล้วมันสนุกนะ ผมทำงานแล้วมีความสุขตรงที่ได้มาลงพื้นที่พบปะประชาชน จะทำงานไปด้วยท่องเที่ยวไปด้วย เพราะไปถึงจังหวัดหนึ่งก็ได้ประสบการณ์ใหม่มาแบบหนึ่ง ได้เรียนรู้เพิ่มเติม เราทำงานแก้ปัญหาใหม่ๆ ทุกวัน

ทำไมอายุ 60 กว่า มีบริษัทใหญ่โตร่ำรวย ถึงลงมาทำงานการเมืองแบบนี้

        การทำงานมันไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองหรอกนะ และมันก็ไม่ใช่เพื่อเงินด้วย เงินเดือนในตำแหน่งรัฐมนตรียังไงๆ ก็ไม่เท่ากับรายได้ที่ผมทำธุรกิจตัวเอง แต่งานแบบนี้มีคุณค่า มันให้ความสุขกับเรา ผมมีความหวัง ผมมีความฝัน ผมอยากทำงานให้สังคมไทยดีขึ้น เศรษฐกิจไทยดีขึ้น อยากเห็นคนไทยมีเงินใช้จ่าย มีกระเป๋าตังค์หนาๆ คนเราทำงานเพียงเพื่อเงินอย่างเดียวไม่ได้ และทำเพื่อตัวเองอย่างเดียวไม่ได้หรอก เราทำงานเพื่อคนอื่นจะมีความสุขกว่า

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

        อืม มันอธิบายยากนะ เหมือนเวลาคุณเดินไปไหนมาไหนแล้วเห็นแต่คนกำลังเศร้าหมอง คุณก็ไม่มีความสุขหรอก แต่ถ้าคุณไปไหนมาไหนเจอผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส คุณก็จะยิ้มแย้มไปด้วยกับเขา ความสุขของเราบางทีก็ขึ้นอยู่กับความสุขของผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง เมื่อเขามีความทุกข์ เราจะสุขได้อย่างไร คนเราเมื่อถึงจุดหนึ่ง เราจะรู้สึกว่ามีมากพอแล้วล่ะ ไม่ได้ต้องการมากไปกว่านี้แล้ว ความสุขที่แท้จริง ณ จุดนี้ มันคือการทำเพื่อผู้อื่น อยากให้คนอื่นมีความสุข

 

การสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวนั้น ได้วางนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวไว้อย่างรอบด้าน

        1. ยกระดับความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว (Safe)

        2. ส่งเสริมความสะอาดและรักษ์สิ่งแวดล้อม (Clean)

        3. ส่งเสริมความเป็นธรรม ป้องกันการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว (Fair)

        4. สร้างรายได้สู่ท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน (Sustainability)

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0