โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

พลังประชารัฐจัด 20 องครักษ์ ป่วนฝ่ายค้าน! รับมือโดนถลก แถลงนโยบาย

ไทยรัฐออนไลน์ - Politics

อัพเดต 21 ก.ค. 2562 เวลา 17.03 น. • เผยแพร่ 21 ก.ค. 2562 เวลา 22.10 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

7 พรรคลับปาก ขย่มรบ.-รธน.

7 พรรคฝ่ายค้านเปิดเวทีลับฝีปาก เผาหัวก่อนวันแถลง นโยบายรัฐบาล “สมพงษ์” ปลุกประชาชนร่วมรื้อ รธน.เจ้าปัญหา “ธนาธร” ซัดเผด็จการไม่ยอมตาย แก้เมื่อไหร่มีปฏิวัติแน่ แต่ไม่กลัวพร้อมสู้ ย้ำศาล รธน.ไม่มีอำนาจยุบ อนค. “วันนอร์” เย้ย รบ. “ลุงตู่ 2” ผจญวิกฤติศรัทธา ยันไม่ลากประชาชนลงถนนแก้ รธน. “เสรีพิศุทธ์” ชี้ “ประยุทธ์” ออกไปคนเดียวประเทศเดินหน้าได้ “สงคราม” ฉะผลงานโบแดงสร้างเหลื่อมล้ำอันดับหนึ่งโลก “อุตตม” สั่ง ส.ส.พปชร.ตั้งทีมรับมือ กลับลำอีกรอบลุยต่อลดหย่อนภาษี วิปรัฐบาลยืนกรานให้อภิปรายแค่ 2 วัน ปิดปากสนิทข่าว ป.ป.ช.ชี้มูลสร้างสนามฟุตซอลโฉ่ “องอาจ” ยัน ปชป.เน้นสร้างสรรค์ “หนูนา” กำชับลูกพรรคห้ามแว่บ

ก่อนจะถึงวันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา 7 พรรคการเมืองฝ่ายค้านจัดเสวนา “ทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ” เปิดเวทีให้บรรดาหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านลับฝีปากกันก่อนถึงวันจริง ขณะที่พรรคพลังประชารัฐจัดสัมมนาติวเข้ม ส.ส.ลูกพรรค เตรียมพร้อมรับมือ

7 พรรคฝ่ายค้านจัดเวทีลับฝีปาก

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ก.ค. ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ 7 พรรคฝ่ายค้านจัดเวทีเสวนา “ทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ” นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวในการเสวนาว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้มีพรรคการเมืองมาก กลายเป็นปัญหาใหญ่หลวง ทำให้การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมีปัญหา หากเจอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะบอกว่ารัฐธรรมนูญทำให้ท่านมาอยู่ตรงนี้ไม่ถูกครรลองคลองธรรม ไม่ถูกกฎหมาย เป็นสิ่งที่ท่านต้องรับผิดชอบ การจะแก้รัฐธรรมนูญต้องอาศัยเสียง ส.ว. จำนวน 1 ใน 3 แต่จากการโหวตเลือกนายกฯไม่เห็นมี ส.ว.ซักคนโหวตไปอีกทาง ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องอาศัยประชาชนทั้งประเทศ การไปยื่นญัตติในสภาคงเป็นไปไม่ได้ ฝ่ายค้านต้องผนึกกำลังทำความเข้าใจกับประชาชน สู้ให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ เพราะวันนี้เรามีศัตรูคนเดียวกัน แต่แนวทางนี้ไม่ใช่การไปเคลื่อนไหวนอกสภา ไม่ใช่การปลุกระดมประชาชน แต่ให้ข้อมูลประชาชนให้มีความคิดของตัวเอง อยากนำกระถางธูป 2 กระถาง เขียนติดไว้ระหว่างสนับสนุน กับไม่สนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วมาดูว่ากระถางไหนมีธูปมากกว่ากัน

“ธนาธร” ซัดเผด็จการไม่ยอมตาย

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ถือว่าน่าเศร้าที่สุดเรากำลังส่งสังคมที่แย่ให้ลูกหลาน ถ้าไม่ทำอะไรลูกหลานจะได้รับ มรดกสังคมที่แย่กว่าปัจจุบัน อาทิ ความเหลื่อมล้ำสูงมากขึ้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา การปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มทุนกับชาวบ้าน ตราบใดที่สังคมไทยยังสถาปนาความคิดคนเท่ากันไม่ได้ การรัฐประหารยังมีโอกาสเกิดขึ้น ต่อให้เอา พล.อ.ประยุทธ์ออกไปได้ การรัฐประหารก็ไม่จบ เพราะยังมีตัวแทนคนอื่นเข้ามาอีก ส่วนตัวกังวลว่าอาจมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีก เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือหัวใจของการครองอำนาจ ถ้าเดินหน้าแก้ไขมีความเสี่ยงจะเกิดรัฐประหารอีกครั้ง แต่สถานที่ที่จะไปรวมตัวต้านรัฐประหารครั้งนี้ จะไม่ใช่สนามหลวง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ขอให้ไปที่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อยืนยันว่าอำนาจยังอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร ถ้าเกิดการรัฐประหารพรรคฝ่ายค้านพร้อมร่วมต่อสู้กับประชาชน ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม ได้แต่หวังว่ากลุ่มอนุรักษนิยม หรืออภิสิทธิ์ชนจะมีสายตายาวพอ และฉลาดพอที่จะไม่ทำแบบนั้น เพราะสังคมไทยถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง หวังว่าจะไม่ทำแต่ถ้าทำก็ต้องร่วมกันต่อสู้ ไม่ว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญกี่ฉบับถ้าไม่มีการปฏิรูปกองทัพ ภารกิจสร้างประชาธิปไตยจะถูกล้มอีก ดังนั้นต้องระบุเรื่องการปฏิรูปกองทัพในระยะยาวด้วย

เย้ย รบ. “ลุงตู่ 2” ผจญวิกฤติศรัทธา

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า มองรัฐบาลนี้ด้วยความสิ้นหวัง สงสารประชาชนรอมา 5 ปีนึกว่าหนังจะเปลี่ยนเรื่อง แต่กลับต้องดูเรื่องเดิม การแก้วิกฤติได้ต้องดูคนที่เข้ามาทำนโยบายให้สำเร็จ แต่เท่าที่ดูไม่ผ่านซักคน วิกฤติที่แก้ไม่ได้คือความศรัทธาและความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล ทั้งตัวนายกฯ และรัฐมนตรีมีใครบ้างเป็นความหวังความศรัทธาของประชาชน แม้จะดูแลความสงบได้แต่ทำให้ปากท้องประชาชนอิ่มได้หรือไม่ ความสงบต้องควบคู่กับความสุขประชาชน รัฐธรรมนูญมาตรา 160 กำหนดคุณสมบัติรัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ แต่การนำคนที่ถูกครหามาเป็นรัฐมนตรีถือว่าขาดคุณสมบัติ อย่าง รมว.คลังที่ต้องมาดูแลการคลังของประเทศ ถ้าไม่เป็นที่ประจักษ์ในความซื่อสัตย์สุจริตถือว่าแย่ ที่รอดอยู่ได้คนเดียว ทั้งที่เพื่อนคนอื่นที่ร่วมเซ็นการปล่อยกู้ติดคุก ไม่รู้เป็นเพราะอภินิหารทางกฎหมายหรือไม่ ไม่เคยเจอ รมว.คลังคนใด ถูกตั้งคำถามขนาดนี้ แต่เหตุใดนายกฯจึงเอาคนแบบนี้มาเป็นรัฐมนตรี

ไม่ลากประชาชนลงถนนแก้ รธน.

นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า ปัญหาประเทศไม่ได้อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่อยู่ที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ต้องมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยก่อน รัฐธรรมนูญฉบับนี้นับว่าแย่ที่สุด เป็นมะเร็งร้ายของประเทศ หากไม่แก้ไขจะพากันตายทั้งประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้อย่างเดียวคือ ได้ 250 ส.ว.ที่ปรองดองกันเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯถึง 249 คน แต่คงไม่เชิญประชาชนไปเดินบนถนนเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจว่าเราได้ประชาธิปไตยปลอมๆ ต้องรวมพลังให้เป็นมติมหาชนว่าต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องการทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรของนายชวน หลีกภัยนั้น หากให้ประเมินการทำงานคิดว่าได้คะแนนแบบปริ่มน้ำ ไม่ถึงกับตก แต่ผ่านได้แบบไม่ค่อยดี เชื่อว่านายชวนจะรักษาชื่อเสียงโดยการทำหน้าที่ให้ดี

“บิ๊กตู่” ออกไป ปท.ไทยเดินหน้าได้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้ เพียง พล.อ.ประยุทธ์ออกไปแค่คนเดียว ที่ผ่านมาเคยยื่นหนังสือให้ กกต.ตรวจสอบ พล.อ.ประยุทธ์ และยุบพรรคพลังประชารัฐ ทั้งกรณีการเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ กรณีการค้ามนุษย์ซื้อขาย ส.ส. แต่ กกต.ยุติทุกเรื่องถ้าเกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชารัฐยุติหมด แต่ถ้าเป็นพรรคอนาคตใหม่ก็ซวยไป

ฉะสร้างเหลื่อมล้ำผลงานโบแดง

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอุปสรรคต่อประเทศ ผู้มีอำนาจเอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัว ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทยเหลื่อมล้ำเป็นอันดับ 1 ของโลก ถือเป็นความสามารถของรัฐบาลที่แล้ว ไม่ใช่จนติดดินแต่จนทะลุดินไปแล้ว รัฐบาลจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ ต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายๆ เพราะอยู่มา 5 ปียังทำไม่ได้ ครม.ก็ชุดเดิม นโยบายเขียนดีอย่างไร แต่ผู้ปฏิบัติถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้รัฐบาลมีวิธีหาเงินอย่างเดียวคือการขึ้นภาษี และการกู้เงิน ขณะนี้ประเทศไทยมีหนี้ถึง 7 ล้านล้านบาท ถือเป็นสิบเท่าของปี 2540

ยันศาล รธน.ไม่มีอำนาจยุบพรรค

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของนายณฐพร โตประยูร ขอให้พิจารณาพรรคอนาคตใหม่ และคณะกรรมการบริหารพรรค ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า ไกลที่สุดที่ศาลรัฐธรรมนูญจะทำได้ คือสั่งให้พรรคอนาคตใหม่ยุติการกระทำ แต่ไม่มีอำนาจยุบพรรคภายใต้คำร้องนี้ ขอให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรควางใจได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจนี้ หากพิจารณานอกเหนือมาตรา 49 ถือว่าพิจารณาเกินเลยอำนาจ เพราะมาตรา 49 ให้อำนาจศาลเฉพาะการพิจารณา ไม่ได้ให้อำนาจยุบพรรค การที่คำร้องดังกล่าวทำให้ประชาชนเข้าใจว่าจะนำไปสู่การยุบพรรค อาจเพราะประชาชนไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม เอะอะก็จะยุบพรรค ใช้กระบวนการยุติธรรมเล่นงานพรรคการเมืองที่มีจุดยืนต่อต้านการสืบทอดอำนาจ เป็นคำถามว่าเหตุใดประชาชนจำนวนมากจึงคิดอย่างนี้ ส่วนกรณีที่พูดบนเวทีเสวนาว่าหากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น ให้ประชาชนไปรวมตัวที่รัฐสภา เป็นการส่งสัญญาณว่าพรรคอนาคตใหม่และพรรคฝ่ายค้านพร้อมจะต่อสู้กับการทำรัฐประหารหากมีขึ้นในอนาคต

“อุตตม” สั่งลูกพรรคตั้งทีมรับมือ

วันเดียวกันเวลา 14.00 น. ที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐจัดสัมมนา “เสริมศักยภาพ ส.ส.” เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการอภิปรายแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวเปิดสัมมนาว่า เรื่องเนื้อหาถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่การเตรียมทีมต่างๆที่จะทำหน้าที่ในสภาก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อน เป็นเรื่องเทคนิคในสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ฝากเรื่องการเตรียมการมาว่า ให้เตรียมเนื้อหาและบุคลากรไปพร้อมกัน พอผ่านการแถลงนโยบายแล้วเราจะทำงานได้อย่างเต็มที่ในทุกกระทรวงที่มีคนของพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐมนตรี ให้ทุกคนทำงานตามที่พูดไว้กับประชาชน และพร้อมทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลขับเคลื่อนพัฒนาประเทศ แก้ไขปัญหาให้ประชาชน ยินดีที่ทุกคนมาร่วมกันทำงาน และเป็นครั้งแรกที่เราจะนำเสนอนโยบาย และอภิปรายในสภา ขอให้งานครั้งนี้ประสบความสำเร็จทุกอย่าง

กลับลำลุยต่อลดหย่อนภาษี

นายอุตตมให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณ์เรื่องนโยบายของพรรคที่ไม่เป็นไปตามที่หาเสียงโดยเฉพาะการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา 10 เปอร์เซ็นต์ ว่า นโยบายดังกล่าวเราจะดูเรื่องภาษีทั้งหมด เพราะระบบภาษีมีความเหลื่อมล้ำอยู่ ต้องมาดูการปรับโครงสร้างภาษี พิจารณาจากรายได้ของประชาชน หากพบว่ามีส่วนใดปรับลดได้เราจะทำให้เกิดความสมดุล ยืนยันว่าไม่ถอยแน่ แต่ทำให้ครอบคลุมมากขึ้น เมื่อถามว่าเคยประกาศว่าหากพลังประชารัฐเป็นรัฐบาลจะทำทันที แต่มาถึงตอนนี้กลับเลื่อนออกไป นายอุตตมตอบยืนยันว่า จะทำทันทีแต่ต้องมีขั้นตอน เบื้องต้นสั่งการให้สำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาเตรียมการอย่างรอบด้าน การทำทันทีไม่ได้หมายความว่าเมื่อเป็นรัฐบาลจะทำทันที เพราะรัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบาย แต่เบื้องต้นเตรียมการไว้แล้ว ส่วนจะลดหย่อนภาษีได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาและกำหนดหลักเกณฑ์

วิป รบ.ยืนกรานตามเวลาเดิม

นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า เราเตรียมความพร้อมมาระดับหนึ่งแล้ว วันนี้ถือว่ามาปิดหลักสูตรโดยเชิญนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรค มาพูดแนวนโยบายรัฐบาล เบื้องต้นแบ่งเวลาให้ฝ่ายค้านอภิปราย 13 ชั่วโมงครึ่ง ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล ส.ส. และ ส.ว. ได้ฝ่ายละ 5 ชั่วโมง นี่ถือว่ารัฐบาลใจกว้างมากแล้ว ให้มากกว่าสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ให้เวลา 10 ชั่วโมง และการอภิปรายจะสิ้นสุดในเวลา 24.00 น. วันที่ 26 ก.ค. รวมเวลา 2 วัน 30 ชั่วโมง เมื่อถามว่าจะติวเข้มรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายถูกอภิปรายหรือไม่ นายวิรัชตอบว่า รัฐมนตรีแต่ละคนคงเตรียมข้อมูลและเอกสารไว้แล้ว ส.ส.จะทำหน้าที่ดูกฎระเบียบข้อบังคับเท่านั้น ประเด็นที่ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายเรื่องคุณสมบัตินายกฯ และรัฐมนตรี มองว่ามีการอภิปรายในช่วงโหวตเลือกนายกฯไปแล้ว ฝ่ายค้านน่าจะพิจารณาตามความสมควรว่าต้องอภิปรายซ้ำอีกหรือไม่ เพราะเรื่องนี้อยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ จนถึงวันนี้นายกฯยังไม่ได้ติดต่อมาทางพรรคให้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษ

ปิดปากถูกชี้มูล “สนามฟุตซอล” โฉ่

เมื่อถามว่า ได้จัดเตรียมเอกสารแบบฟอร์มการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคให้กับทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีแล้วใช่หรือไม่ นายวิรัชตอบว่า อยู่ที่ท่าน ถ้าดูตามกฎหมายแล้วสามารถดำเนินกิจกรรมร่วมกับพรรค การเมืองได้ ตั้งแต่วันที่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ฉะนั้นในส่วนตรงนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพรรคแล้ว ท่านส่งข่าวมาตลอด และสัปดาห์หน้าจะมีโอกาสได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง เมื่อถามว่าได้รับหนังสือแจ้งเรื่องที่คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลที่ จ.นครราชสีมา แล้วหรือไม่ นายวิรัชตอบว่า อันนั้นว่ากันไปตามกระบวนการ

จัด 20 ส.ส.ไว้คอยป่วนฝ่ายค้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการสัมมนา ส.ส.พลังประชารัฐ ได้ซักซ้อมจัดทัพ ส.ส.เป็น 2 กลุ่มอภิปรายนโยบายรัฐบาล 7-8 นาที เบื้องต้นวางไว้ 5-6 คนประกบรัฐมนตรี โดยแบ่งงานแต่ละด้าน อาทิ การศึกษา พลังงาน อุตสาหกรรม ขณะที่กลุ่มประมาณ 20 คน ให้คอยลุกขึ้นทักท้วงหากฝ่ายค้านออกนอกประเด็น โดยเฉพาะการอภิปรายเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในการประชุม ครม.นัดแรกเมื่อวันที่ 16 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ได้ย้ำให้รัฐมนตรีแต่ละคนชี้แจงในนโยบายที่รับผิดชอบ และกล่าวติดตลกว่า “อย่าทิ้งผม อย่าปล่อยให้ผมพูดคนเดียว ขอให้ทุกคนช่วยกันพูด” ขณะที่แกนนำพลังประชารัฐยังคงยืนยันว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ จะเดินทางมาพบปะกับ ส.ส.ในช่วงเช้าเพื่อให้กำลังใจ และเตรียมลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์ภัยแล้ง กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ที่สำนักงานชลประทานที่ 8 อ.เมืองนครราชสีมา ต่อมาในช่วงค่ำมีการจัดงานเลี้ยงในธีมคาวบอยไนท์ พร้อมพิธีบายศรีสู่ขวัญ บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก

คนต่อคิววืด 5 รมต.ไม่ไขก๊อก ส.ส.

สำหรับประเด็นการลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อของผู้ที่ได้เป็นรัฐมนตรีนั้น ล่าสุด มีแนวโน้มว่า 5 รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้แก่ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง จะไม่ลาออกจากการเป็น ส.ส. เพราะถือเป็นแกนนำคนสำคัญของพรรค

“องอาจ” ยัน ปชป.เน้นสร้างสรรค์

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าและประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้เชิญ ส.ส.มาประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมการแถลงนโยบายรัฐบาล มีผู้สนใจขอร่วมอภิปรายจำนวนมาก แต่คงไม่สามารถอภิปรายได้ทุกคน เพราะพรรคร่วมได้เวลาไม่มากนัก ต้องการกระจายให้ทั่วถึงทุกพรรค การแถลงนโยบายของรัฐบาลครั้งนี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ ร่วมกันผลักดันให้ประเทศเดินหน้า เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน วางแนวทางการอภิปรายไว้ 3 แนวทาง คือ 1.นโยบายที่พรรคร่วมรัฐบาลหาเสียงไว้ช่วงเลือกตั้ง 2.นำเสนอข้อมูล มาตรการปฏิบัติตามนโยบายให้ได้ผลจริง 3.ตรวจสอบความเป็นไปได้ของนโยบายทั้งนโยบายเร่งด่วน และนโยบายหลัก เชื่อมั่นว่าการอภิปรายจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์รอบด้าน

“ชวน” กำชับเร่งส่งร่างให้สมาชิก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ได้เดินทางมายังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อตรวจสอบเอกสารร่างคำแถลงนโยบายที่ทางรัฐบาลเพิ่งจะส่งมาถึงสภาฯ มีเนื้อหาทั้งหมด 66 หน้า แบ่งเป็นนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน โดยนายชวนมีข้อสั่งการไปยังเจ้าหน้าที่รัฐสภาเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดส่งไปยังสมาชิกรัฐสภาแล้ว พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ว่าให้กำกับดูแลการบรรจุหีบห่อและส่งเอกสารดังกล่าวด้วยตนเอง เพราะเป็นเรื่องสำคัญ และขอให้แสดงข้อมูลไว้บนเว็บไซต์สภาฯ เพื่อให้สมาชิกดาวน์โหลดมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย

เชื่อ “นายหัว” คุมเกมในสภาได้แน่

นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ เลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวว่า บรรยากาศวันแถลงนโยบายจะเป็นไปอย่างเข้มข้น แต่ไม่ว่าจะดุเดือดแค่ไหน ถ้าอยู่ในกรอบกฎหมายยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง ถือว่าเป็นเรื่องปกติของกลไกรัฐสภา แต่ไม่ควรใช้เวทีดังกล่าวเป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง เพราะประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ส่วนตัวไม่กังวลเพราะนายชวน หลีกภัย มีความเป็นกลาง ใส่ใจให้เกียรติทุกฝ่าย ควบคุมการประชุมโดยยึดมั่นในกฎระเบียบข้อบังคับอย่างเสมอภาคกัน หากสมาชิกทุกคนปฏิบัติตนโดยยึดระเบียบข้อบังคับ ไม่อภิปรายนอกประเด็น ให้ความเคารพในการบริหารเวลาของประธาน ก็ไม่น่ากังวลจะมีเหตุป่วนใดๆ

“หนูนา” กำชับลูกพรรคห้ามแว่บ

น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ได้เรียกประชุม ส.ส.และรัฐมนตรีของพรรค ในวันที่ 23 ก.ค.นี้ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนถึงวันแถลงนโยบายรัฐบาล คงต้องกำชับเป็นพิเศษให้ทุกคนอยู่ฟังการประชุมโดยตลอด ไม่แว่บไปไหน ขอให้ฟังอย่างวิเคราะห์ถี่ถ้วน และอภิปรายนโยบายทั้งในส่วนที่เป็นของพรรคชาติไทยพัฒนาเอง และของพรรคร่วมในภาพรวม เน้นให้เป็นรูปแบบของการเสนอแนะ ปฏิบัติ และติดตามผลให้เกิดการปฏิบัติอย่างแท้จริงด้วย นอกจากนั้นยังต้องสามารถตรวจสอบได้

“จุรินทร์” เตรียมงานลุย “อาร์เซ็ป”

ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เรียกประชุมข้าราชการระดับสูงและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องช่วงวันหยุด โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วม ถือเป็นการประชุมต่อเนื่องหลังจากวันเข้ารับหน้าที่ เช่น การเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ระหว่างอาเซียนบวก 6 ประเทศ คือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ตั้งเป้าหมายเจรจาให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2562 เนื่องจากมีความสำคัญต่อการเปิดตลาดของไทย เพราะตลาดอาร์เซ็ปมีขนาดใหญ่ถึง 16 ประเทศ มีจีดีพีรวมกันกว่า 27.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 32.3 ของจีดีพีโลก ที่มีประชากรรวมกันมากกว่า 3,589 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 48 ของประชากรโลก และมีมูลค่าการค้ารวมกันสูงถึง 11.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือร้อยละ 31 ของมูลค่าการค้าโลก

ย้ำเป็นตลาดส่งออกสำคัญสุด

นายจุรินทร์กล่าวว่า เคยมีเงินลงทุนจาก 15 ประเทศสมาชิกเข้ามายังไทยสูงถึง 2.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ของเงินลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด ที่สำคัญคือมีสินค้าส่งออกที่ไทยส่งไปในกลุ่มอาร์เซ็ป เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วน ประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง และระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-3 ส.ค.ตนจะเดินทางไปเป็นประธานการประชุมระดับรัฐมนตรีอาร์เซ็ปที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งมีการค้าการลงทุนของไทยมากกว่าครึ่งต้องพึ่งพาตลาดใหญ่ของอาร์เซ็ปเพราะมูลค่าการส่งออกของไทยในกลุ่มนี้ คือ 5.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ต้องเจาะตลาดกลุ่มอาร์เซ็ปเพิ่มขึ้น

“บิ๊กแดง” ยกเครื่องตามกองทัพสหรัฐฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองทัพบกว่า ในวันที่ 16 ส.ค.นี้ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เตรียมพบปะผู้บังคับหน่วยระดับผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรมกว่า 800 นายทั่วประเทศจะมีการทดสอบร่างกาย และภาษาอังกฤษ รวมถึงความรู้ทางทหาร ที่ ร.ร.เสนาธิการทหารบก ตามตำราใหม่ “หลักนิยมทางทหาร (Military Doctrine) ยุคใหม่ และ How to deal with the complex wars” เพราะเห็นว่ากองทัพสหรัฐอเมริกา ที่กองทัพบกไทยยึดเป็นต้นแบบการจัดกองทัพ และการฝึกศึกษามายาวนาน ได้ปรับปรุงเอกสารตำราเรียน และหลักนิยมทางทหารให้เข้ากับภารกิจภัยคุกคาม และสถานการณ์ปัจจุบัน เช่นเดียวกับกองทัพไทยที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ได้ร่วมเขียนตำราหลักนิยมทางทหารเรื่องนี้ไว้ ตั้งแต่ตอนเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และยังสั่งการให้ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ของทั้ง ร.ร.นายสิบทหารบก ร.ร.นายร้อย จปร.ให้ทันสมัยสอดรับสถานการณ์ เน้นสร้างกำลังพลให้เป็นผู้นำในอนาคต และมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษ รวมถึงการเสริมความรู้ด้าน Cyber ให้นักเรียนนายร้อย จปร.ด้วย

โพลชี้คนเฉยๆ นักการเมืองเดินสาย

อีกเรื่อง สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 1,060 ตัวอย่าง เรื่อง “สุข ทุกข์ คนไทย” พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 40.7 บอกว่าผลงานรัฐบาล “ลุงตู่” ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยทุกข์มากที่สุดเมื่อนึกเงินในกระเป๋าตัวเอง ร้อยละ 32.1 ระบุกลางๆ ร้อยละ 19.1 ระบุทุกข์ มีเพียงร้อยละ 6.1 เท่านั้นที่ระบุว่ามีความสุข ส่วนประเด็นที่นักการเมืองเดินสายวิจารณ์การเมืองไทยให้โลกฟัง พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 51.3 มองว่าเฉยๆ ขณะที่ร้อยละ 42.2 ระบุเป็นทุกข์ นอกจากนี้ส่วนใหญ่ร้อยละ 67.9 จะให้โอกาสรัฐบาลชุดใหม่ทำงานมากกว่า 2 ปีขึ้นไป ถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาเดือดร้อนเงินในกระเป๋าของประชาชนได้

อุ่นใจมี พ.ร.บ.ไซเบอร์ไว้ข้างกาย

ขณะที่กรมประชาสัมพันธ์ร่วมกับนิด้าโพล เปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 2,507 ตัวอย่าง เรื่อง “พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 53.80 มองว่ากฎหมายดังกล่าวจะช่วยสร้างความมั่นคงปลอดภัย และแก้ปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ และร้อยละ 24.09 มองว่าไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ขณะที่ร้อยละ 21.00 มองว่าเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพประชาชน เพราะให้สิทธิและอำนาจเจ้าหน้าที่รัฐเกินไป ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลประชาชนได้ง่าย กังวลว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ รวมถึงไม่มีหน่วยงานอิสระตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ เลยกลัวว่ารัฐบาลจะใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ โดยมีข้อเสนอแนะว่าควรสร้างความรู้และจิตสำนึกให้กับประชาชนเกี่ยวกับโทษในการคุกคามความมั่นคงทางไซเบอร์ ควรควบคุมไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐนำไปใช้ในทางมิชอบ

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0