พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากระบบการเลือกตั้งแบบจัดสัดปันส่วนผสมมากที่สุด ทั้งในแง่จำนวนส.ส.ภาพรวมที่ลดลงจากอดีตนับร้อยคน และแกนนำคนสำคัญของพรรคที่เป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ได้เป็น ส.ส. ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยตกอยู่ในสภาพที่มีการนำอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ตั้งพรรคมา
ด้วยจำนวนเสียงน้อยและโครงสร้างของรัฐธรรมนูญไม่เกื้อหนุน ทำให้พรรคเพื่อไทยตกอยู่ในสภาพฝ่ายค้านอย่างจำใจ ต้องแสดงบทบาทในรัฐสภาเป็นหลัก และมีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ที่เป็นส.ส.แบบเขตพื้นที่ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร การรื้อฟื้นสถานะทางการเมืองให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง จึงขึ้นอยู่กับการแสดงบทบาทของ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร องค์ประกอบของส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันเป็น ส.ส.ที่มาจากเขตเลือกตั้งทั้งหมด โดยพื้นฐานของผู้ที่ได้รับชัยชนะในระดับเขตเลือกตั้งจะต้องมีฐานเสียงจากสามแหล่งประกอบกัน คือ ฐานเสียงของตัวผู้สมัคร ความเชื่อมั่นต่อพรรค และความนิยมในหัวหน้าพรรคหรือบุคคลสำคัญของพรรค
สำหรับการเลือกตั้งในอดีต กรณีพรรคเพื่อไทย อิทธิพลของพรรคและหัวหน้าพรรคหรือบุคคลสำคัญของพรรคส่งผลให้เกิดกระแสเกื้อหนุนตัวผู้สมัครมากกว่าฐานเสียงของตัวผู้สมัคร ทว่าในครั้งนี้จากผลการเลือกตั้งบ่งชี้ว่า ฐานเสียงของตัวผู้สมัครเริ่มมีอิทธิพลเหนือปัจจัยด้านพรรคและหัวหน้าพรรรคแล้ว เมื่อผู้ที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. ประเมินว่าตนเองมีฐานเสียงที่แข็งแกร่ง และพึ่งพากระแสจากพรรคและแกนนำพรรคน้อยลง พวกเขาก็เกิดความรู้สึกเป็นอิสระและเชื่อว่าอำนาจการต่อรองของตนเองเพิ่มมากขึ้น การแสดงพฤติกรรมของพวกเขาจึงมีความโน้มอียงที่ถูกชี้นำจากความปรารถนาและความต้องการของตนเองเป็นหลัก ขณะที่บรรทัดฐาน ระเบียบ มติพรรค ความจงรักภีต่อพรรค และการเชื่อฟังผู้มีตำแหน่งในพรรคถูกลดความสำคัญลงไป พวกเขาบางคนจึงกล้าพูดสนับสนุนและแสดงความชื่นชมนายกรัฐมนตรีในที่สาธารณะ ทั้งที่นายกรัฐมนตรีเป็นคู่ขัดแย้งหลักของพรรค และถูกแกนนำของพรรควิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในเรื่องการสืบทอดอำนาจและไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง มีการประเมินกันว่า ส.ส. ที่มีความแปลกแยกจากพรรคเพื่อไทย และพร้อมที่จะเปลี่ยนฝั่งไปสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล หากถึงพร้อมด้วยปัจจัยและเงื่อนไขมีประมาณ ๒๐ ถึง ๓๐ คน หากเหตุการณ์อย่าง การยกมือสวนทางกับมติพรรค และหันไปยกมือสนับสนุนรัฐบาลเกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นเครื่องแสดงอย่างชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยตกอยู่ในอาการที่ถดถอยอย่างรุนแรง นอกจากการแสดงออกถึงการสนับสนุนนายกรัฐมนตรีของส.ส.บางคนของพรรคแล้ว สิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นถึงสภาพการนำที่อ่อนแอ หรือแทบเรียกว่าไร้การนำ ก็คือ ความขัดแย้งระหว่าง ส.ส.ภายในพรรค ซึ่งเลื่อนระดับจากการถกเถียงกันด้วยคำพูด ไปสู่การทำร้ายร่างกาย การขอตำรวจมาคุ้มครอง และการแจ้งความกล่าวโทษกัน
การเข้าไปกระชากลากถู และทำร้ายร่างกายภายในห้องของหัวหน้าพรรค ซึ่งมีทั้งหัวหน้าพรรคและแกนนำของพรรคอยู่ในที่นั้นด้วย สะท้อนให้เห็นถึง ความไร้ระเบียบ ไม่ยึดถือบรรทัดฐานทางสังคม และไม่เคารพนับถือแกนนำของพรรคอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นคือสัญญาณแห่งความเสื่อมและความอ่อนแอของพรรคอย่างชัดเจน ภายในปีหรือสองปีนี้ หากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถหยุดยั้งกระแสแห่งความเสื่อมที่เกิดขึ้นได้ ในไม่ช้าพรรคเพื่อไทยก็จะกลายเป็นอีกพรรคหนึ่งที่ถูกฝังในสุสานของพรรคการเมืองไทย