พบพิรุธ! รายได้ค่าตั๋ว “การบินไทย” ปี 62 ลด สวนทางยอดผู้โดยสารเพิ่ม หารแล้วเฉลี่ยขายตั๋วที่นั่งละ 6 พันบาท ไม่สอดคล้องกับค่าโดยสารที่แท้จริง
รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าของคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในการบริหารกิจการของบริษัทและปัญหาการทุจริต บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้แต่งตั้งว่า
ข้อมูลที่คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบนั้น เบื้องต้นเป็นประเด็นที่สร้างความเสียหายกับการบินไทย ส่งผลกระทบต่อรายได้ เช่น การขายตั๋ว การบริหารจัดการภายในองค์กร รวมไปถึงโครงสร้างการบริหารที่มีความทับซ้อน
สำหรับข้อมูลที่สามารถรวบรวมได้และมีแนวโน้มนำไปสู่การทุจริต คือ ข้อมูลการขายตั๋วโดยสารของการบินไทย ในปี 2562 พบว่ามีรายได้จากการขายตั๋วและค่าขนสัมภาระ รวมอยู่ราว 1.4 แสนล้านบาท ขณะที่ปริมาณผู้โดยสาร มีจำนวน 25.4 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าค่าโดยสารต่อหัวเฉลี่ยของการบินไทยต่ำอยู่ที่ประมาณ 6,081 บาทต่อคน ซึ่งถือว่าน้อยมาก และไม่สอดคล้องกับราคาตั๋วโดยสารที่แท้จริง
“รายได้ของการบินไทย ในปี 2562 พบว่าลดลง ซึ่งเป็นผลย้อนแย้งกับอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ที่สูงขึ้น เพราะในปีที่ผ่านมาการบินไทยมี Cabin Factor สูงเฉลี่ยอยู่ราว 80% ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องพิจารณาในรายละเอียด แต่ก็พบว่ารายได้และค่าใช้จ่ายของการบินไทยมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ต้องรอบคอบ และหาข้อมูลให้ครบถ้วนที่สุด” แหล่งข่าวกล่าว
พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในการบริหารกิจการของบริษัทและปัญหาการทุจริต บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้การบินไทยจะเปลี่ยนสถานะจากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทเอกชนแล้ว แต่คณะทำงานชุดนี้ยังเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากการแต่งตั้งคณะทำงานฯ เป็นคำสั่งของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินในการแต่งตั้ง
นอกจากนี้ การตรวจสอบของคณะทำงานฯ เป็นการสอบข้อเท็จจริง ไม่ใช่การสอบสวน ยังไม่มีการกล่าวหาใคร จึงสามารถดำเนินการได้
“ขณะนี้ได้เชิญผู้บริหารจากฝ่ายต่างๆ ของการบินไทยมาสอบแล้ว จำนวน 4 ปาก ซึ่งจะต้องสอบเพิ่มเติมอีกหลายปาก คาดว่าจะได้ผลสรุปภายใน 150 วัน หรือภายในสิงหาคม 2563 หากผลสอบพบว่ามีมูลการทุจริต คณะทำงานฯ จะสรุปเรื่องเสนอให้รัฐมนตรีช่วยฯ ถาวร พิจารณาก่อน จากนั้นจะต้องส่งเรื่องต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” พล.ต.ท.ชาญเทพกล่าว
สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีการส่งข้อมูลให้ตรวจสอบต่อมี 2 หน่วยงาน คือ 1.กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และ 2.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยเป็นไปได้ว่าอาจจะส่งเรื่องให้ทั้ง 2 หน่วยดำเนินการ
