เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งไตรมาสก็จะสิ้นปี และเป็นช่วงเวลาที่หลายคนกำลังพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF และหากดูทิศทางตลาดหุ้นจากนี้ไปถึงสิ้นปี ก็ไม่น่าจะยับไปไหนได้ไกล จากปัจจัยลบในตลาดเงินตลาดทุนโลก รวมทั้งความกังวลจากผลกระทบสงครามการค้า
เรียกได้ว่าบรรยากาศการค้าการลงทุนไม่เอื้อต่อการลงทุนเสียเลย
หากมาพิจารณาเฉพาะกองทุน LTF จะเห็นได้ว่าในปีนี้เป็นปีที่ไม่ดีเอาเสียเลย เพราะราคาหุ้นล่าสุด ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ระดับต่ำกว่าเมื่อตอนต้นปี ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อมูลค่าหน่วยลงทุน(NAV)
เมื่อพิจารณาผลตอบแทนกองทุน LTF ตั้งแต่ต้นปี ที่ให้ผลตอบแทนในรอบ 1 ปี จาก NAV เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับ 18 ต.ค.ปีที่แล้ว จะเห็นได้ว่าอัตราผลตอบแทนขยับกันน้อยมาก โดยที่ NAV ของกองทุนที่ปรับเพิ่มมากที่สุดเพียง 5.92% คือ กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นระยะยาว ชนิดหน่วยลงทุน B (TISCOLTF-B)
แต่หากเปรียบเทียบตั้งแต่ต้นปี ผลตอบแทนเพียง 1.10%
หากไปดูกองทุน LTF อื่น ๆ จาก 85 กองทุน ก็จะเห็นว่า "ย่ำแย่" พอๆกัน ผลตอบแทนในรอบ 1 ปี มีบวกไม่เกิน TISCOLTF-B และหากเปรียบเทียบตั้งแต่ต้นปียิ่งย่ำแย่ไปอีก ที่เห็นผลตอบแทนเป็นบวก อาทิ กองทุนเปิดเค สตราทีจิค ดีเฟ็นซีฟหุ้นระยะยาวปันผล (KSDLTF) 1.48%
ส่วนที่เหลือโดยมากจะติดลบ บางกองทุนติดลบหนักไปถึง 16%
อาจกล่าวได้ว่าปีนี้เป็น "ปีแห่งความโชคร้าย" ของบรรดาผู้บริหารกองทุน ใครยืนได้เสมอตัวก็ถือว่าเก่ง เพราะค่อนข้างผันผวน เอาแน่นอนอะไรไม่ได้
แต่หากในฝั่งคนของคนซื้อ อาจเป็น"ปีทอง"ของนักลงทุน เพราะโดยปกติแล้ว ราคาหน่วยลงทุนในช่วงนี้จะขยับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับต้นปี แต่ในปีนี้ส่วนใหญ่ "ติดลบ"
การซื้อ LTF เป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งกว่าจะขายคืนได้ก็ต้องอีก 7 ปีข้างหน้า และที่สำคัญคนที่ติดอกติดใจกับ LTF จะมีโอกาสถึงปีหน้าเท่านั้นที่จะซื้อได้ เพราะกระทรวงการคลังจะยกเลิกกองทุนประเภทนี้ เหลือแต่ RMF หรือ กองทุนที่ลงทุนรับวัยเกษียณเท่านั้น
ดังนั้น จึงไม่แน่ว่าซื้อปีนี้แล้วจะได้กำไร เพราะปีหน้าอาจลงไปอีกก็เป็นได้ ซึ่งขึ้นกับแต่ละคนตัดสินใจ เพราะเหลือเวลาไม่มาก คิดเสียว่าได้กำไรขั้นต่ำจากการหักลดหย่อนภาษี
สำหรับผู้สนใจว่ากองทุน LTF ของตัวเอง เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับของคนอื่น สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ WealthMagik
ใครชอบกองไหน และบลจ.ไหน ก็เลือกดูได้ ยังมีเวลาตัดสินใจอีกไม่ถึง 3 เดือน
