โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ผู้ปกครองกว่า 88.9% ห่วงเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน สำหรับการเปิดเทอมใหญ่ปี 63

BLT BANGKOK

เผยแพร่ 28 พ.ค. 2563 เวลา 04.31 น. • BLT Bangkok
ผู้ปกครองกว่า 88.9% ห่วงเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน สำหรับการเปิดเทอมใหญ่ปี 63

ในช่วงนี้ของทุกปี ผู้ปกครองที่มีบุตรในวัยเรียนต้องเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับการเปิดเทอมใหม่ เช่น ค่าเทอม (สำหรับผู้ที่ส่งบุตรหลานเรียนโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนนานาชาติ) ค่าบำรุงการศึกษาและกิจกรรมในโรงเรียน ค่าใช้จ่ายหนังสืออุปกรณ์การเรียนและเครื่องแต่งกายนักเรียน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563 นี้ แตกต่างไปจากปีที่ผ่านๆ มา เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการมีงานทำ และรายได้ของผู้ปกครองบางกลุ่ม จากการที่ภาคธุรกิจต้องปิดตัว ขณะเดียวกันทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการเลื่อนการเปิดภาคการศึกษาใหม่ในปี 2563 เป็น วันที่ 1 ก.ค. 63 เพื่อลดความเสี่ยงแก่เด็กนักเรียน รวมถึงได้เตรียมแผนการเรียนออนไลน์ในระหว่างที่กำลังปิดเทอมและกรณีโควิด-19 กลับมาระบาดอีกครั้ง

โควิด-19 กระทบต่อความสามารถการใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จัดทำการสำรวจพฤติกรรมความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อการศึกษา และผลกระทบจากโควิด-19 ของผู้ปกครองในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563 (โดยเน้นกลุ่มผู้ปกครองที่มีบุตรหลานเรียนระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย) ในช่วงระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 10 พฤษภาคม 2563 จากกลุ่มตัวอย่าง 480 คน ซึ่งมีประเด็นดังนี้

การสำรวจมุมมองผลกระทบที่ผู้ปกครองได้รับภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 100% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด มองว่าตนเองได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าว โดยผลกระทบที่ได้รับจะมีมิติที่ต่างกัน

ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากรายได้ลดลงเนื่องจากถูกลดเวลาการทำงาน ถูกปรับลดเงินค่าจ้าง และผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นเจ้าของธุรกิจมียอดขายลดลง

นอกจากนี้มีผู้ตอบแบบถามบางกลุ่มได้รับผลกระทบจากการไม่มีงานทำเนื่องจากกิจการปิดตัวลงชั่วคราว รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ และป้องกันโค วิด-19 ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ผู้ปกครองกว่า 88.9% มีความกังวลต่อสภาพคล่องทางการเงินที่จะนำมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563 นี้โดยกลุ่มตัวอย่างที่มีความกังวลมาจากหลายสาเหตุ อาทิ เงินออมไม่เพียงพอเนื่องจากได้รับ ผลกระทบจากการที่กิจการต้องปิดให้บริการชั่วคราวมีผลต่อรายได้ และผู้ปกครองบางรายถูกเลิกจ้างชั่วคราว ซึ่งผู้ปกครองกลุ่มนี้ปรับตัวด้วยการใช้แหล่งเงินจากหลายๆ ที่ นอกจากการใช้เงินออม อาทิ การใช้สินเชื่อ จากจากสถาบันการเงินอย่างบัตรเครดิต และสินเชื่อเงินสด โรงรับจำนำ ยืมญาติพี่น้องหรือเพื่อน

นอกจากนี้ ผู้ปกครองบางกลุ่มได้ขอผ่อนผันการชำระค่าเรียน และผู้ปกครองบางรายขอผ่อนชำระค่าเทอมกับทางโรงเรียน ซึ่งสอดคล้องกับทางสถานศึกษาบางแห่งได้เปิดให้ผู้ปกครองสามารถผ่อนชำระค่าเทอมเป็นงวดๆ ได้

มูลค่าการใช้จ่ายด้านการศึกษาช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563 คาดเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% อยู่ที่ประมาณ 28,260 ล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าการใช้จ่ายในด้านการศึกษาสำหรับบุตรหลานในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563 นี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 28,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วง เดียวกันของปีก่อน

โดยการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายมาจากค่าธรรมเนียมด้านการศึกษาซึ่งเป็นผลมาจากจำนวน นักเรียนใหม่ที่เข้าสู่ระบบการศึกษาที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นอัตราการเพิ่มที่ชะลอตัวจากปีก่อน เนื่องจากเกิดเหตุการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจครัวเรือน ทำให้โรงเรียนเอกชนหลายแห่งไม่ได้ปรับขึ้นค่าเรียน และบางแห่งได้ปรับลดค่าธรรมเนียมการศึกษา เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง

อย่างไรก็ดีผู้ปกครองส่วนใหญ่ปรับลดค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาในบางกลุ่ม ซึ่งจะมีผลต่อผู้ประกอบการธุรกิจในกลุ่มที่คงจะต้องเตรียมแผนการตลาดรองรับกับรายได้ที่จะลดลง

สำหรับกลุ่มที่ผู้ปกครองมีการปรับลดค่าใช้จ่าย ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าเพื่อการศึกษา อาทิ ชุดนักเรียน/รองเท้า และ อุปกรณ์การเรียน เป็นต้น ซึ่งผู้ปกครองต่างมองว่าจะลดจำนวนของสินค้าที่จะซื้อ หรือซื้อเท่าที่จำเป็นต้องใช้ และค่าใช้จ่ายการเรียนกวดวิชา/เสริมทักษะสำหรับในช่วงการเปิดภาคการศึกษาใหม่ เนื่องจากหลายสาเหตุ ได้แก่ ผู้ปกครองที่ไม่มีปัญหาเรื่องรายได้ชะลอการส่งบุตรหลานไปเรียนโรงเรียนกวดวิชา หรือการเรียนเสริมทักษะ เนื่องจากยังมีความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ผู้ปกครองที่มีปัญหาเรื่องรายได้จะปรับลดค่าใช้จ่ายในกลุ่ม การเรียนเสริมทักษะ ขณะที่ในส่วนของกวดวิชา ผู้ปกครองจะเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่สำคัญ

ผู้ปกครองกว่า 48.4% ไม่พร้อมสำหรับรูปแบบการเรียนออนไลน์/ผ่านฟรีทีวี

จากความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการเลื่อนเปิดเทอมใหญ่ออกไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ซึ่งในระหว่างที่รอการเปิดเทอมทางกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยได้ทดลองออกอากาศการเรียนการสอนผ่านสัญญาณฟรีทีวี ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล-มัธยมศึกษาปีที่ 3 ขณะที่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ใช้สื่อออนไลน์ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดเทอม โดยได้เริ่มทดลองออกอากาศไปเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2563

นอกจากนี้ ความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่อาจกลับมาระบาดอีกครั้ง ทำให้สถาบันศึกษาได้เตรียมแผนการรองรับ เพื่อที่จะให้การเรียนดำเนินกิจกรรมต่อได้ และลดผลกระทบที่จะเกิดกับนักเรียนให้น้อยที่สุด โดยหนึ่งในแนวคิดนั้นก็คือ การปรับรูปแบบการเรียนเป็นแบบออนไลน์

ซึ่งภายหลังจากที่มีการเริ่มทดลองการเรียนการสอนไม่ว่าจะผ่านระบบออนไลน์ หรือทางฟรีทีวี พบว่า มีการตอบรับในมิติที่ต่างกัน ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สำรวจความพร้อมของผู้ปกครองใน ภาวะที่ต้องมีการเรียนในรูปแบบออนไลน์พบว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความพร้อมคิดเป็นสัดส่วน 51.6% ขณะที่ผู้ปกครองที่ไม่มีความพร้อมในการเรียนออนไลน์คิดเป็น 48.4% ของผู้ตอบแบบสอบถาม

โดยกลุ่มผู้ปกครองที่ไม่มีความพร้อมมีสาเหตุจาก ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่พร้อมในอุปกรณ์การเรียนอย่าง คอมพิวเตอร์/แท็ปเล็ต (เครื่องมือสื่อสารในการเรียน) และอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ผู้ปกครองมองว่ารูปแบบการเรียนดังกล่าวไม่เหมาะสมกับเด็ก เนื่องจากมองว่าเด็กมีสมาธิไม่เพียงพอ กังวลว่าเด็กจะไม่เข้าใจบทเรียนและไม่มีเวลา ดูแลบุตรหลาน

เรียนผ่านสื่อออนไลน์/ฟรีทีวีเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดเทอมเป็นแนวคิดที่ดีที่นักเรียนได้ใช้เวลาว่างในการเสริมทักษะ

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า แนวคิดการให้เรียนผ่านสื่อออนไลน์/ฟรีทีวีเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดเทอมเป็นแนวคิดที่ดีที่นักเรียนสามารถใช้เวลาว่างในการเสริมทักษะ ความรู้กับบทเรียนใหม่ๆ ในช่วงระหว่างรอเปิดภาคเรียนใหม่ และการเตรียมพร้อมหากสถานการณ์โควิด-19 กลับมาระบาดอีกครั้ง

ทั้งนี้ การจะสร้างให้การเรียนผ่านสื่ออนไลน์/ฟรีทีวี มีประสิทธิผล ก็อาจจะมีการพัฒนาหรือปรับเนื้อหา (Content) ให้น่าสนใจ เช่น การใช้ Animation กราฟิก เข้ามาช่วยเพื่อดึงความสนใจกับนักเรียนที่เป็นเด็กเล็ก หรือการปรับรูปแบบเนื้อหาของวิชาเรียนให้นักเรียนที่เรียนผ่านสื่อออนไลน์/ฟรีทีวี สามารถฝึกทักษะ และความคิดได้อย่างการออกแบบเนื้อหาเป็นรูปแบบเกมส์ และในส่วนของการสอนแบบสื่อออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต อาจมีการปรับให้มีช่องทางการถาม-ตอบบทเรียนซึ่งอาจจะเป็นแบบเรียลไทม์ (Real Time) หรือแบบออฟไลน์ (Offline) เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนได้มากขึ้น

แต่สำหรับนักเรียนบางกลุ่มที่ไม่มีความพร้อมก็อาจจะเกิดช่องว่างทางการศึกษา ซึ่งทางหน่วยงานรัฐอาจจะมีการแจกบทเรียนให้นักเรียนสามารถทำความเข้าใจก่อนเปิดภาคเรียนใหม่ รวมถึงการเปิดจุดบริการในสถานที่ราชการ หรือหน่วยงานท้องถิ่นให้นักเรียนที่ไม่มีความพร้อมในอุปกรณ์ให้สามารถเข้าถึงระบบการเรียนออนไลน์ได้น่าจะช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงการศึกษาลงได้

ผู้ปกครองกว่า 86.9% กังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 หลังจากที่เด็กนักเรียนกลับไปเรียน ส่วนใหญ่อยากเห็นสถาบันศึกษามีมาตรการป้องกันที่เข้มข้น

แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศจะดีขึ้น แต่จากผลสำรวจ พบว่า ผู้ปกครองกว่า 86% ยังมีความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโควิค-19 หากบุตรหลานกลับไปโรงเรียน ขณะที่ผู้ปกครองคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่กังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 หากบุตรหลาน กลับไปโรงเรียน

โดยเมื่อมีการเปิดเทอมแล้วนั้น ทางผู้ปกครองอยากเห็นสถาบันการศึกษามีมาตรการในการ ป้องกันเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มงวดต่อเนื่อง อาทิ การคัดกรอง/ตรวจวัดไข้เด็กก่อนเข้าเรียน มีจุดให้บริการ เจลล้างมือ การให้นักเรียนใส่หน้ากากอนามัย การบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางของโรงเรียนไม่ให้มีความหนาแน่น การจัดระบบภายในห้องเรียนให้มีระยะห่างระหว่างกัน การทำความสะอาด และพ่นยาฆ่าเชื้อสม่ำเสมอ ทั้งในห้องเรียน บริเวณรอบๆ โรงเรียน และอุปกรณ์การเรียนการสอน การปรับ/ลดกิจกรรมกีฬาที่มีการสัมผัสใกล้ชิด และการปรับตารางเรียน อาจจะมีการสลับเวลาเรียนระหว่างชั้นเรียนเพื่อลดความแออัดในห้องเรียน/โรงเรียน เป็นต้น

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0