ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 21 กันยายน 2561 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีอดีตแฟนสาวของนายอาทิตย์ ดาวสว่าง หรือแบ็ค นักฟุตบอลสโมสรเชียงรายยูไตเต็ด เตรียมแจ้งความดำเนินคดี อ้างว่าถูกข่มขู่ ว่า นายอาทิตย์ ดาวสว่าง หรือแบ็ค เคยรับราชการตำรวจในยศ ส.ต.ต. ตำแหน่ง ผบ.หมู่ ฝ่ายการฌาปนิกิจสงเคราะห์ กองสวัสดิการ แต่ได้ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ เมื่อวันที่ 16 มี.ค.61 ที่ผ่านมา ฐานกระทำผิดวินัยร้ายแรง ฐานละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อกันในคราวเดียวกัน เป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ และไม่กลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกเลย
ซึ่ง ส.ต.ต.อาทิตย์ ดาวสว่าง มีหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการของการฌาปนกิจสงเคราะห์ แต่ไม่มาปฏิบัติหน้าที่ และไม่ลงลายมือชื่อปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่ 8 - 26 ก.ย. 60 และไม่มาปฏิบัติราชการจนถึงปัจจุบัน โดยมิได้ขอนุญาติลาตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียว เป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณ์แสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ส่วนคดีความ ที่เกิดเหตุเมื่อช่วงเดือน เม.ย. 2559 ซึ่ง นายอาทิตย์ ดาวสว่าง ข้อหาพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยนั้น ในคดีดังกล่าวนี้ พนักงานสอบสวน สภ.คลองข่อย จ.นนทบุรี ได้ทำการสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด และได้สรุปสำนวนการสอบสวน มีความเห็นควรสั่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการแล้ว อย่างไรก็ตาม การกระทำใดๆของ ส.ต.ต.อาทิตย์ จึงเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะอดีตต้นสังกัดแต่อย่างใด เพราะขาดจากการเป็นตำรวจแล้ว
รองโฆษก ตร. กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่อดีตแฟนสาว นายอาทิตย์ ดาวสว่าง หรือแบ็ค เตรียมแจ้งความดำเนินคดีอ้างว่าถูกข่มขู่ ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น สามารถเดินทางไปยังสถานีตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อแจ้งความร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายจนกว่าคดีถึงที่สุดได้ ซึ่งที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับพนักงานสอบสวนมาโดยตลอดให้ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม ตามหลักกฎหมาย อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์หรือพยานหลักฐานที่ชี้ถึงตัวผู้กระทำความผิดเป็นสำคัญ เพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ตัวของผู้เสียหาย
