นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะละตัวช่วงปลายปี 61 หวั่นส่งผลกระทบไทย เนื่องจากส่งออกไปยังจีนสูงและการท่องเที่ยวก็มีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนเป็นอันดับหนึ่ง
ธนาคารกสิกรไทย จัดงานสัมมนาเรื่อง “ส่องทิศทางเศรษฐกิจปีกุน” เพื่อเป็นข้อมูลให้ลูกค้าที่ประกอบธุรกิจ โดยวงเสวนาประกอบด้วย นายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์, นายศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการศูนย์วิจัยกสิกรไทยและ นายกอบสิทธิ์ ศิลปะชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย
จีนใช้ปัจจัยในประเทศพยุงเศรษฐกิจตัวเอง
นายสมภพ มานะรังสรรค์ กล่าวว่า จีนมีการปรับนโยบายที่ตั้งแต่ต้นมาตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว เช่นการก่อหนี้ของท้องถิ่น แต่สถานการณ์ปัจจุบันมีการผ่อนผันอย่างรุนแรง ซึ่งทางจีนที่กำลังประสบปัญหาอยู่บ้างในขณะนี้จากการโจมตีของสหรัฐฯ พยายามใช้วิธีป้องกันตัวเองด้วยการใช้ตัวแปรในประเทศ
เช่นการบริโภคในประเทศมาช่วยพยุงเศรษฐกิจของตัวเองจะเห็นได้ว่าการบริโภคภายในประเทศของจีนมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นมากเป็น 70% จากเมื่อก่อนที่เคยเติบโตขึ้น 50% นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาคบริการเข้ามากระตุ้นด้วยซึ่งมีอัตราเติบโตทางภาคบริการเป็น 68% จากเดิม 51%
จากตัวเลขที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าจีนพยายามใช้ปัจจัยภายในประเทศของตัวเองเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนัก นอกจากนี้รัฐบาลจีนเองยังพยายามช่วยเหลือภาคอกชนเต็มที่ เช่น รัฐบาลกระตุ้นให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กหรทอ SMEs ซึ่งกำลังขาดแคลนสภาพคล่องอยู่ขณะนี้
จากสถานการณ์ที่จีนกำลังเป็นไป ยังสามารถเชื่อต่อไปได้ว่าจะต้องตกอยู่ในสภาพนี้ไปอีกในระยะยาว ซึ่งรัฐบาลจีนเองพยายามปล่อยเงินมาเลี้ยงในระบบเศรษฐกิจอย่างหนัก และนอกจากนี้ยังเป็นการทำให้ดอกเบี้ยในประเทศถูกลงอีกด้วย ซึ่งเป็นนโยบายการเงินที่รัฐบาลจีนกำลังเอาจริงเอาจังอยู่ในขณะนี้
ในขณะที่มาตรการของการคลัง ก็มีนโยบายจะลดภาษีเพราะเห็นทางสหรัฐฯ ทำและประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังจะลด VAT ให้กับประชาชน โดยบางผลิตภัณฑ์ของจีนมี VAT สูงถึง 17% ซึ่งการทำแบบนี้จะเป็นการกระตุ้นการบริโภคในประเทศให้มีการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกันทางรัฐบาลจีนก็เร่งการลงทุนของรัฐบาลด้วยเช่นกัน เช่นการสร้างรถไฟใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน และเป็นการเร่งการขยายตัวของเมืองซึ่งจะช่วยให้ SMEs ให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้ ซึ่งการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมจีนถือว่ายังคงเติบโตอยู่เรื่อยๆ
แต่การลงทุนที่จีนกำลังให้ความสนใจอยู่ในปัจจุบันคือการลงทุนกับเทคโนโลยี เช่น AI มีการเติบโตในประเทศจีนเป็นอย่างมาก สวนทางกับธุรกิจแรงงานที่จีนเริ่มไม่ให้ความสนใจเท่าไรนัก
สหรัฐฯ-จีน ต้องร่วมมือกัน เศรษฐกิจโลกถึงจะดีขึ้น
แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยจะนำมาวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นไหมมีแค่การคุยกันของสหรัฐฯ กับ จีน และการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เท่านั้น ซึ่งปี 62 ที่จะถึงนี้ 5G กำลังจะมาถ้าสหรัฐฯ และจีนร่วมมือกันเจรจากันได้ข้อสรุปที่ลงตัว จะทำให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้นมาก แต่ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องต่อให้ 5G มา ก็ไม่มีผลอะไร
ขณะเดียวกันจีนพยายามให้บริษัทชั้นนำในประเทศพัฒนาระบบเทคโนโลยีต่างๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าจีน และ สหรัฐฯ ร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีจะยิ่งทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก เพราะต่างเป็นประเทศที่มีทรัพยากร และต้นทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีด้วยกันอยู่แล้ว
แต่ทิศทางการเจรจากันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาเมื่อ 2 ชาตินี้คุยกันได้ดีจะทำให้หุ้นในตลาดโลกขึ้นทุกครั้งทันที ฉะนั้นแล้วเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เป็นเรื่องสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
คาดเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอปลายปี 61
ด้านนายศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ เปิดเผยว่าโดยส่วนตัวคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนในสิ้นปี 61 นี้ มีแนวโน้มลงแรงถึง 6.2% แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก เพราะเศรษฐกิจจีนในปี 61 ดีมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ก็ถือว่าเป็นการเฉลี่ยกันไปกับสิ่งที่ทำมาได้ในช่วงแรก
และเมื่อเข้าสู่ปี 62 คาดว่าจะได้เห็นอะไรที่ชัดขึ้นกับตัวเศรษฐกิจจีน ซึ่งคาดว่ายังคงชะลอตัวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าจากปัจจัยภายนอก ซึ่งจีนมีการลดแลกแจกแถมเยอะมาก โดยมีการนำเงินเข้าไปฉีดในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยประคลองไปได้ในระยะหนึ่งเท่านั้น
ซึ่งความจริงนโยบายการเงินมักจะตามมาด้วยความเสี่ยงต่างๆ ซึ่งจีนเองก็ยังคงต้องลุ้นว่าสงครามการค้ากับสหรัฐฯ จะจบลงเมื่อไร ถ้าสงครามการค้าจบเศรษฐกิจจีนจึงจะกลับมาดีแบบจริงๆ อีกครั้ง ซึ่งเศรษฐกิจจีนมีความเปราะบางถึงแม้จะมีการเติบโตในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม
จีนหนุนเทคโนโลยีหวังใช้สร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศ
ขณะเดียวกันจีนพยายามหาจุดเปลี่ยนในการที่จะทำให้เศรษฐกิจของตัวเองกลับมาดีอีกครั้ง ซึ่งก็เหมือนว่าจีนกำลังเจอสิ่งที่คิดว่าจะทำให้เศรษฐกิจของตัวเองกลับมาดีแล้วนั่นคือการเข้าไปสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยี แต่ว่ายังคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเห็นผลทันทีหรือในระยะสั้น
เป็นห่วงเศรษฐกิจจีนแย่ทำกระทบไทย
ซึ่งปี 62 ยังคงเป็นห่วงเศรษฐกิจจีนเช่นกัน ถ้าสงครามการค้าไม่จบ การค้าของจีนอาจได้รับผลกระทบ และกำไรของบริษัทต่างๆ ก็อาจลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งจะลามไปถึงระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งจีนก็พยายามแก้ไขด้วยการกระตุ้นให้สภาพคล่องในประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีในระยะสั้น ซึ่งถ้าจีนโดนผลกระทบประเทศไทยก็จะได้รับผลเสียตามไปด้วยเช่นกันเพราะไทย-จีน มีการทำการค้ากันเยอะ ในส่วนของการท่องเที่ยวเองก็กระทบแน่นอนเพราะไตรมาส 3 ของปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทยก็ลดลงเช่นกันจากปัญหาเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต
ทำให้รายได้การท่องเที่ยวของไทยลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยอีกด้วย และถ้าหากจีนเกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจขึ้นมาจริงๆ ไทยเองก็ต้องเตรียมการรับมือเช่นกัน
นายกอบสิทธิ์ ศิลปะชัย หล่นความเห็นทิ้งท้ายไว้ว่า คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี62 จะโตอยู่ที่ 3.6% ส่วนจีนคาดโตขึ้น 6.2% และสหรัฐฯ คาดว่าจะโตขึ้น 2.6% ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ทางสหรัฐฯ รู้อยู่เต็มอกว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้มากกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 62 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จึงพยายามสกัดจีนทุกรูปแบบ
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักที่จะเกิดภาวะสงครามการค้าขึ้น และคาดว่าอาจจะลามไปจนถึงปลายปีหน้า และต้องตามดูอีกทีว่าการเจรจาของ 2 ประเทศนี้ จะจบลงอย่างไร เพราะอย่างที่หลายฝ่ายรู้อยู่เต็มอกว่าถ้าสงครามการค้าไม่จบก็จะส่งผลกระทบไปยังประทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน