โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

ผลข้างเคียงจากยาพาซิล (ยารักษาโรคซึมเศร้า) ที่คุณไม่ควรประมาท

issue247.com

อัพเดต 26 ก.ค. 2561 เวลา 05.10 น. • เผยแพร่ 26 ก.ค. 2561 เวลา 00.00 น.

ยารักษาอาการซึมเศร้าและโรควิตกกังวลสามารถช่วยชีวิตผู้คนเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวได้ตั้งหลายล้านคน (จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคพบว่าชาวสหรัฐรับประทานยารักษาอาการซึมเศร้าถึงร้อยละ 12.7) ยาพาซิลหรือพาร็อกซีทีนคือหนึ่งในยาเหล่านั้นซึ่งรักษาได้ทั้งโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า อย่างไรก็ตามเราไม่ควรมองข้ามผลข้างเคียงของยาพาซิล

ยาพาซิลเป็นยากลุ่ม SSRI มีฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะการดูดกลับซึ่งทำงานร่วมกับระบบเซโรโทนินในสมองเช่นเดียวกับยาเซอร์ทราลีนและฟลูออกซิทีน ระดับเซโรโทนินในสมองจะเกี่ยวข้องกับระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมรวมถึงการยั่วยุและการนอนหลับด้วยเนื่องจากเซโรโทนินเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ “รู้สึกดี” พาซิลเป็นยา 1 ใน 5 ชนิดที่อยู่ในกลุ่ม SSRI คุณอาจต้องลองยาชนิดอื่นในกลุ่มนี้เพื่อหาว่ายาชนิดใดที่เหมาะกับคุณมากที่สุด แต่บางครั้งยาพาซิลก็สามารถทำให้คุณรู้สึกแย่ได้เช่นเดียวกับยาชนิดอื่นๆ และนี่คือผลข้างเคียงของยาพาซิลที่ควรระวังหากคุณกำลังรับประทานหรือสนใจยาชนิดนี้อยู่

 

1. คุณไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารแต่น้ำหนักตัวของคุณกลับเพิ่มขึ้น

ยารักษาอาการซึมเศร้ากับยารักษาโรควิตกกังวลมักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่ยาพาซิลมีผลข้างเคียงมากกว่ายาชนิดอื่น การศึกษาปี 2014 พบว่าจากยารักษาอาการซึมเศร้าทั้งหมด 11 ชนิด ยาพาซิลเป็น 1 ใน 2 ที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด กลุ่มนักวิจัยไม่รู้ว่าเหตุใดยาพาซิลหรือยารักษาอาการซึมเศร้าชนิดอื่นๆจึงทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่พวกเขาเชื่อว่ามันอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเซโรโทนินซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและกำหนดความอยากอาหาร หากคุณสังเกตว่าตัวเองมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหลังจากที่รับประทานยาพาซิลคุณควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและออกกำลังกายมากขึ้น หรือการเลือกรับประทานยาชนิดอื่น

 

2. คุณมีอาการปวดท้องรุนแรง

ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารคือผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยมากที่สุดในการรับประทานยากลุ่ม SSRI เนื่องจากในนั้นมีตัวรับเซโรโทนินมากกว่าในสมองของคนเรา ยาดังกล่าวจะไปกระตุ้นสมองทำให้ส่งผลต่อลำไส้ ทางแก้ที่ดีที่สุดคือเริ่มใช้ยาในปริมาณต่ำและรับประทานพร้อมกับอาหาร หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ก็ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการเปลี่ยนไปใช้ยาอีกชนิดหนึ่ง

 

3. คุณรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น

ฟังดูขัดกับความเป็นจริงใช่ไหม? แต่นี่คืออาการปกติหลังจากที่เริ่มรับประทานยาพาซิล นั่นเป็นเพราะร่างกายของคนเรากำลังปรับตัวให้คุ้นเคยกับยาและผลกระทบในระยะยาว คุณสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเริ่มจากยาปริมาณน้อยๆและเพิ่มขึ้นทีละนิดเท่าที่ตัวเองทนได้ คุณควรรอดูผลข้างเคียงในช่วงแรกและประเมินความสามารถในการรับประทานยาของตัวเอง

 

4. คุณไม่เคยมีอารมณ์ร่วม

ความรู้สึกทางเพศลดลงรวมถึงปัญหาในการถึงจุดสุดยอดคือผลข้างเคียงระยะยาวที่เกิดจากยาพาซิลและยากลุ่ม SSRI และจะยิ่งแย่ลงเมื่อมีการใช้ในปริมาณมาก แพทย์อาจต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ของยากับผลกระทบที่มีต่อความต้องการทางเพศของคุณและสุดท้ายพวกเขาก็อาจเปลี่ยนให้คุณไปใช้ยาชนิดอื่นๆ

 

5. คุณจะรู้สึกอ่อนแอและเริ่มพูดไม่ชัด

นี่คือสัญญาณเตือนถึงระดับโซเดียมต่ำหรือภาวะโซเดียมในเลือดต่ำซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอื่นๆตามมา เช่น ปวดศีรษะ สับสน ร่างกายไม่ประสานกัน และรู้สึกไม่มั่นคง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับและไตในการย่อยสลายยาต่างๆด้วย ร่างกายของบางคนไม่สามารถกักเก็บโซเดียมไว้ได้หลังจากที่รับประทานยารักษาอาการซึมเศร้าอย่างพาซิล ทางที่ดีคุณควรหมั่นตรวจสอบระดับอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายเมื่อรับประทานยาชนิดนี้

 

6. คุณนึกอยากฆ่าตัวตายอยู่ตลอด

ยาพาซิลอาจทำให้ความรู้สึกซึมเศร้าทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับยารักษาอาการซึมเศร้าและยารักษาโรควิตกกังวลชนิดอื่นๆ คุณต้องหมั่นสังเกตอาการที่ซ่อนอยู่เนื่องจากยาชนิดนี้จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดพฤติกรรมหรือความคิดที่จะฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ยาพาซิลยังส่งผลกระทบในแง่ร้ายกับผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ด้วย การรับประทานยาพาซิลอาจทำให้อาการของคุณกำเริบเข้าสู่ช่วงเมเนียหรือช่วงไฮโปเมเนียได้ หากคุณมีอาการนึกอยากฆ่าตัวตายหรือรู้สึกเศร้าดำดิ่งหลังจากที่รับประทานยากรุณาปรึกษาแพทย์ให้เร็วที่สุด อย่ามองข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไปเด็ดขาด!

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0