นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงกระแสที่มีกลุ่มคนออกมาเรียกร้องให้มีคำสั่งยกเลิกโทษประหารชีวิต ว่า กรมราชทัณฑ์ถือเป็นหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนตัวจึงไม่อยากแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวมากนัก แต่หากมองในด้านวิชาการ จะพบมิติที่สามารถนำเสนอได้ สำหรับเป้าหมายของโทษประหารชีวิตนั้น มีจุดประสงค์ก็เพื่อกำจัดอาชญากรร้ายแรงให้ออกไปจากสังคมโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังเป็นการเตือนสังคมว่า โทษภัยที่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายกระทำลงไปนั้นมีโทษร้ายแรง ให้อาชญากรเกิดความหวาดกลัว หลาบจำไม่กล้ากระทำความผิด
ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีผลการสำรวจทางวิชาการบางความเห็นระบุว่า โทษประหารชีวิต อาจจะไม่สามารถยับยั้งการกระทำความผิดได้ ซึ่งข้อเท็จจริงก็พบว่ามีส่วนจริง เพราะว่าการพิจารณาคดีแต่ละครั้ง โดยเฉพาะโทษสำคัญร้ายแรง จะมีการพิจารณาถึง 3 ศาล การใช้เวลานาน เมื่อมีคำพิพากษาประหารชีวิตขึ้นมา ประชาชนหรือสังคม ก็อาจจะลืมไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในเรื่องนั้น ก็ไม่สามารถที่จะเตือนสังคมได้ แต่โทษประหารชีวิต จะมีประโยชน์ในกรณีที่มีการประหารอย่างรวดเร็วทันที ซึ่งส่วนนี้จะต้องมีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของขั้นตอนพิจารณาให้ดี เนื่องจากหากมีการรื้อคดีขึ้นมาใหม่ แล้วพบว่าจำเลยไม่ผิดจริง แต่มีการประหารชีวิตไปแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ไม่มีแนวทางที่จะเยียวยาผู้ที่ถูกประหารชีวิตไปแล้วได้ ซึ่งในส่วนของนายมิก นักโทษประหารรายแรกในรอบ 9 ปี พบว่ามีการก่อเหตุหลายครั้ง และเมื่อมีการดำเนินการครบทุกขั้นตอนแล้ว ทางกรมราชทัณฑ์ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม นายกฤช ระบุว่า การทำงานของกรมราชทัณฑ์ถือว่าทำงานอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่าย คือ ผู้เสียหาย ที่ต้องการให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ และ ในส่วนของญาติหรือครอบครัวนักโทษ ก็ไม่ต้องการให้นักโทษถูกลงโทษเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งที่ผ่านมายืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทำงานตามหน้าที่ จึงไม่รู้สึกหนักใจ หรือกดดันอะไรแม้ว่าจะมีกระแสสังคมออกมา
