โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

ปั๊มลูกเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ 'หนูแหม่ม'ยอมให้'บ๊อบบี้'มีเมียน้อย!

ไทยโพสต์

อัพเดต 17 ก.ค. 2562 เวลา 10.40 น. • เผยแพร่ 17 ก.ค. 2562 เวลา 10.40 น. • ไทยโพสต์

 

          เป็นคู่รักที่น่ารักอีกคู่หนึ่งเพราะมักจะมีกิจกรรมน่ารักๆทำด้วยกันเสมอ สำหรับ หนูแหม่ม-สุริวิภา และ บ๊อบบี้-โรเบิร์ต พูนพิพัฒน์ ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันมากว่า 23 ปี แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ทั้งคู่ต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคมากมายเลยทีเดียว ล่าสุด หนูแหม่มและบ๊อบบี้ ได้มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ถึงประเด็นเรื่องลูกที่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จจนถึงขั้นแท้ง

 

คบกันมากี่ปีแล้ว?           หนูแหม่ม : ถ้าแต่งงาน 23 ปีแล้วนะ           บ๊อบบี้ : ก่อนแต่งก็ 3 ปี ก็ 25 ปี รู้จักแหม่มผมอายุแค่ 17-18 ปี

 

เขาว่ากันว่าพี่หนูแหม่มกับพี่บ๊อบบี้รักกันแบบสร้างภาพ จริงไหม?           หนูแหม่ม : ไม่รู้สิ แล้วแต่คนจะบัญญัติมันว่าสร้างภาพ แต่จริงๆ เราอยากให้ทุกคนเห็นภาพที่ทุกคนพึงพอใจอยากจะเห็น ภาพที่มันทะเลาะกันอยู่ในบ้าน ให้มันเกิดขึ้นแต่ในบ้าน เราจะเอาภาพนี้ให้คนอื่นเห็นได้ไง มันก็ต้องมีทะเลาะตบตี มีทุกรูปแบบจะเอาเวอร์ชั่นไหน           เราสามารถทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง คือน้ำเสียงที่พูดกันบางทีมันทำให้เราขึ้น ปรับอยู่นนานมากกว่าจะเข้าใจว่าอันนี้มันเป็นธรรมชาติของเขา เราแก้เขาไม่ได้ต้องแก้ที่เรา

 

แล้วทั้งคู่มารักกันตอนไหน?           บ๊อบบี้ : มาเมืองไทยครั้งแรกไม่มีเพื่อน พ่อให้ไปรู้จักกับยุทธการขยับเหงือก แล้วในนั้นมีผู้ชายหมดเลย มีผู้หญิงอยู่คนเดียว หน้าตาเหมือนฝรั่งเขาน่าจะพูดภาษาอังกฤษได้           หนูแหม่ม : ตอนนั้นพี่รู้สึกเฉยๆ มากเลยก็เหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เดินมาแนะนำเพื่อนอีกคนให้รู้จัก แต่คนที่ไม่เฉยคือกลุ่มยุทธการทั้งหมด ทุกคนก็ยุ

 

ตอนนั้นพี่หนูแหม่มมีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่า?           หนูแหม่ม : มี ถามว่าคบซ้อนไหม ไม่ได้คบซ้อน คบทีละคนนี่แหละ แต่ว่าช่วงจังหวะเวลาที่บ๊อบบี้เจอพวกพี่ไม่ได้เจอกันแค่ 2-3 เดือน รู้จักกันมาตั้งหลายปี เขากลับไปเรียนแล้วพี่ก็อยู่ของพี่ พี่ก็ทำงาน พี่ชอบใคร พี่จีบ พี่คบเลย ไม่ใช่มาทีเดียว 3 คน

 

 

 

จีบกันนานไหมถึงติด?           บ๊อบบี้ : มันบังเอิญมาก จบโรงเรียนบริษัทส่งมาที่เมืองไทยให้ทำงานอยู่พัทยา ไม่มีแฟน ไม่มีเพื่อน มีแต่แก๊งนี้           หนูแหม่ม : จะไปซื้อของ ซื้อนี้ที่ไหน พี่ก็ต้องเป็นธุระให้ เพราะเขาทำงานอยู่ในโรงกลั่นน้ำมัน เพราะฉะนั้นการเข้ามาในกรุงเทพฯ เขาไม่ได้มีรถประจำตำแหน่ง เพราะว่าเป็นตำแหน่งเงินเดือน 8000 บาท           บ๊อบบี้ : บังเอิญแหม่มเปิดร้านดอกไม้ข้างๆบ้านผม แถวพหลโยธิน           หนูแหม่ม : ทุกวันศุกร์จะโทรหาบอกว่าผมเลิกงานแล้วนะ ให้ผมนั่งรถทัวร์กลับไป เดี๋ยวผมจะแวะหาแหม่มนะ เป็นอย่างนี้ตลอด เวลาเราไปเล่นขยับเหงือกบ๊อบบี้ก็จะขอไปด้วย แล้วก็จะนั่งอยู่บนรถตู้ แล้วพี่ก็อยู่ของพี่ไม่ได้เกี่ยวกัน จนแบบเอะผู้ชายคนนี้มันแปลกๆ ถามมันเลยดีกว่าบ๊อบบี้ที่ตามเนี่ยจะเป็นแฟนฉันหรือเปล่า ฉันจะได้รู้ จะได้ทำตัวถูก บ๊อบบี้ก็บอกว่าใช่เป็นแฟนก็ได้

 

แล้วตอนแต่งงานใครขอ?           หนูแหม่ม : พี่ถามเลย คือคบกันมา 2 ปีแล้ว ทุกอย่างบ๊อบบี้กำลังจะเปลี่ยน บ๊อบบี้จะต้องเดินทางมากขึ้น แล้วอยู่ในแต่ละที่นานๆ ทีนี้เรามานั่งคุยกัน เขาบอกผมต้องเลือกว่าผมต้องไปทำงาน การเลือกของเขาอยากให้เรามีส่วนรับรู้ด้วย บ๊อบบี้ก็ถามว่าแหม่มเอาไง เราก็เลยบอกว่าถ้าเราคบกันแบบนี้เฉยๆเสียเวลา ก็เลยบอกว่าถ้าเราจะเดินต่อไปเราต้องเป็นครอบครัวไหม ต้องแต่งงานไหม บ๊อบบี้ก็เลยบอกว่าผมเห็นด้วย

 

 

ครั้งแรกที่รู้ว่ามีลูกไม่ได้?           บ๊อบบี้ : เราแต่งงานเสร็จแล้ว เรากลัวมากเลยว่าแหม่มจะท้อง ตอนนั้นแหม่มทำงาน 7 รายการ เดี๋ยวจะกระทบงาน           หนูแหม่ม : ตอน 36 ปี เราเริ่มปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ปล่อยได้สัก 1-2 ปี มันเริ่มแบบไม่ติด ไปหาหมอ ทำตั้งแต่สเต็ปที่เบาสุด จนถึงผสมในหลอดแก้ว ทำทุกอย่างตอนแรกมันก็ติด เราก็กรี๊ดกันทั้งบ้าน พอ 3 เดือนก็ดิ่งลง มันทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนนั้นก็เสียใจทั้งคู่เลย เราร้องไห้ในบ้านจนไม่รู้จะร้องไห้ยังไง บ๊อบบี้เห็นทุกครั้งเวลามันเจ็บ ตอนใส่ก็เจ็บ ตอนแท้งก็เจ็บ เจ็บเหมือนรถบดถนน มันบดมดลูกเรา พี่เคยแท้ง ขณะที่แท้ง หมอบอกว่ามันขูดไม่ได้ ต้องรอ ทุกอย่างมันเกาะหมดแล้ว แต่ว่ามันไม่มีหัวใจมันฝ่อ แต่ว่าการฝ่อก็คือการแท้ง แต่วิธีการแท้งมันก็มีตั้งหลายแบบ           เราก็โดนมาแล้วทุกแบบทั้งขูดออก เขี่ยออก ให้ออกเอง เพราะว่าพี่ทำเป็นสิบครั้ง จนแบบพี่นั่งบนรถเวลาแท้งพี่ต้องโหนไว้แล้วก้นเนี่ยพี่ลอยจากจากเบาะตลอดเวลา เพราะมันเจ็บมาก มันบีบไปหมด พี่อายุ 40-41 พี่ก็เลยมานั่งคุยกันบอกว่าบ๊อบบี้เรามาถึงจุดที่เราต้องหยุดเปล่า ถ้าเราฝืนมันมากเกินไป บางทีลูกออกมาขาดกับเกิน ทีนี้เรามานั่งคุยกันเมื่อเราต้องเผชิญกับปัญหานั้นเราพร้อมไหม แล้วเราจะเดินไปด้วยกันยังไง แล้วใครจะตายก่อน ถ้าเผชิญพร้อมกันเราจะสู้ แต่ถ้าไม่เราจะหยุด บ๊อบบี้ก็เลยบอกว่าผมเห็นว่าแหม่มเจ็บมาก

 

 

 

พี่หนูแหม่ม พี่บ๊อบบี้อยากมีลูกมาก ในฐานะที่เราเป็นภรรยา เราจะช่วยอะไรได้บ้าง?           หนูแหม่ม : พี่รู้ว่าบ๊อบบี้อยากมีลูกมาก แล้วก็ครอบครัวเขาก็คาดหวังว่าอยากให้มี พี่รู้สึกว่าคงหมดทางเราแล้วแหละ พี่บอกบ๊อบบี้ว่าไออนุญาตให้ยูมีเมียใหม่ จะเป็นน้อยหรือเป็นหลวงแล้วแต่เธอเลย เธอจัดการกับมันได้เลย ฉันก็จะอยู่ในพื้นที่ของฉัน ในวันนั้นพี่พูดจริงๆ แต่พี่ไม่รู้ว่าถ้าเกิดขึ้นจริงๆ พี่จะทำได้ไหม แต่พี่รู้สึกว่าพี่ยอมรับอันนี้ได้

 

วันที่พี่แหม่มพูดพี่บ๊อบบี้รู้สึกยังไง?           บ๊อบบี้ : หลอกป่ะเนี่ย แหม่มพูดเพราะว่าเขาเห็นผมอยากมีลูกมาก แล้วที่บ้านด้วย แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำแบบนั้น ผมให้เกียรติแหม่ม

 

พี่รักพี่หนูแหม่มมากกว่าที่จะรักในการมีลูก?           บ๊อบบี้ : ใช่           หนูแหม่ม : ถ้าถึงจุดนั้นจริงๆ เราคงต้องยอม เพราะเราไม่พร้อมกับกระบวนการอื่นๆเลย อย่างเช่น ฝากท้อง ฝากให้คนอื่นท้อง เอาลูกคนอื่นมาเลี้ยง พี่รู้สึกว่าพวกเรายังไม่พร้อมที่จะมาถึงจุดนั้น แล้วหลังจากนั้นบ๊อบบี้ก็แสดงให้เห็นว่าผมไม่ไปในทิศทางที่แหม่มบอกหรอก ต่อให้วันนั้นผมอยากมีลูกมากแค่ไหนก็ตาม เราก็เลยบอกว่าบ๊อบบี้ต่อไปนี้เราสองคนไปเที่ยวไหนไปกัน เรามีกันแค่สองคน เพราะฉะนั้นเราทำเพื่อเราสองคนในวันนี้ บ๊อบบี้อยากทำอะไร อะไรที่เป็นความสุขเราให้ทำ บ๊อบบี้อยากไปเที่ยวผับ เที่ยวคลับ บาร์ แบบไหนจัดให้หมด อาจจะเป็นความสุขอันเดียวในชีวิตที่เขามี ในวันที่เขาเป็นอิสระที่สุดก็ได้ พี่รู้สึกว่าต่อไปนี้อะไรที่เป็นความสุขเราจะทำให้กันและกัน แต่พี่ไม่ให้พี่บ๊อบบี้เที่ยวไกลเดี๋ยวโดนตำรวจเป่าเช็กเมา ก็เลยให้เที่ยวใกล้บ้าน

 

 

ถ้าวิทยาศาสตร์ไม่ได้ไสยศาสตร์ไหมไปขอ?           หนูแหม่ม : ตอนนี้ถ้าพี่ได้ลูกแล้วพี่ต้องไปแก้บนนะ พี่ต้องตั้งโต๊ะแก้บนกลางสนามหลวง เพราะพี่จำไม่ได้ว่าขออะไรไป แล้วพี่สัญญาอะไรไว้บ้าง

 

แต่พี่สองคนเคยพูดว่าหย่ากันเถอะ?           หนูแหม่ม : มันเคยมีเกือบหย่ากัน แล้วบอกว่าเราหยากันเถอะ ต่างคนต่างไปดีไหม เพราะว่าเหมมือนเราไม่เข้าใจ แล้วตอนนั้นทะเลาะกันแค่เรื่องวัฒนธรรมที่มันแตกต่างกัน คือเราถูกเลี้ยงมาคนละแบบ อีกคนเลี้ยงแบบต้องสู้ด้วยตัวเอง แต่อีกคนเติบโตมาในแบบที่มีแต่ครอบครัว ถ้าให้พี่เลือกระหว่างบ๊อบบี้กับครอบครัววันนั้นที่เราคุยกันพี่เลือกครอบครัว แต่จุดนั้นพอเราเริ่มขอหย่ากันแล้ว แล้วเรามานั่งคุยกันมันทำให้เรารู้ว่าจริงๆ การที่มีคนละวัฒนธรรม หรือการโตมาคนละแบบ เราต้องมองคนละแบบแล้วต้องเข้าใจของอีกฝ่ายให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ทุกวันนี้ก็เลยอยู่ด้วยกันได้

 

 

 

 

 

 

ขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจากอินสตาแกรม mamsurivipa

 

 

 

 

 

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0