โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ปัญหารุมเร้า จะใช้ธรรมะดับทุกข์ได้อย่างไร

LINE TODAY

เผยแพร่ 28 พ.ค. 2561 เวลา 10.57 น. • Pimpayod

หลายคนมีปัญหาในชีวิต บางคนมีหนี้สินล้นพันตัว ชักหน้าไม่ถึงหลัง อกหักรักคุด มีปัญหาในที่ทำงาน และอีกร้อยแปดปัญหาที่ประดังประเดกันเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน เรียกว่าทุกข์แล้วทุกข์อีกจนต้องพ่ายแพ้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำได้เพียงยอมจำนนต่อโชคชะตา แบกรับปัญหาไว้ และทุกข์ต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตายกันไปข้างหนึ่ง

การคิดแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเลย คนเราไม่จำเป็นต้องแบกปัญหา ทนรับความทุกข์ไว้กับตัว ในเมื่อมีหนทางอีกมากมายที่ช่วยขจัดความทุกข์ออกไปได้ ถึงแม้ปัญหาจะยังไม่คลี่คลาย แต่การที่เราไม่ทุกข์ระทมก็เป็นการเริ่มต้นที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้แล้ว ส่วนที่เหลือก็แค่จัดการกับเรื่องราวร้อยแปดด้วยวิธีการนี้…

ดับทุกข์ด้วยสติ

จริง ๆ แล้วเราไม่อาจหนีความทุกข์ที่เข้ามารุมเร้าได้ แต่มีวิธีที่จะดับทุกข์ด้วยตัวเองได้ด้วยการมี ‘สติ’ อยู่เสมอ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีสติ ก็จะสามารถพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุมีผล เข้าใจปัญหา ที่สำคัญคือทำใจได้ไว แม้ปัญหานั้นจะไม่ได้รับการแก้ไขก็ตาม ตรงนี้เองที่สติจะทำให้เราควบคุมอารมณ์และสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้น

สิ่งสำคัญคือ สติไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ และไม่ได้เกิดขึ้นเอง ต้องอาศัยการฝึกฝน เพราะจิตของเราไม่เคยนิ่ง มีแต่วอกแวกไปมาตามเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งเร้า ดังนั้นการจะมีสติได้นั้น ต้องเริ่มจากการรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ล่องลอยไปกับอดีตหรืออนาคต ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ความเป็นปัจจุบัน เข้าใจและระลึกได้ว่ากำลังทำอะไร กำลังคิดอะไรบนพื้นฐานของความจริงที่เป็นสัจธรรม

การมีสติ และใช้ปัญญาในการจัดการชีวิตเป็นหนทางในการดับทุกข์ที่ดีที่สุด สังเกตดี ๆ คนไม่มีสติ ไม่ยอมรับความจริงมักจะเป็นทุกข์ ซึ่งเป็นทุกข์ที่เกิดจากตัวเองทั้งนั้น คือพอไม่มีสติก็ไม่มีปัญญาจะมาคิด ตริตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ได้แต่หลอกตัวเองไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้เป็นทุกข์ ถามว่ายังทุกข์อยู่ไหม ตอบได้เลยว่า “ทุกข์” เพราะทุกข์ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เราปกปิด หมกเม็ดโดยไม่ได้ใช้สติเข้ามาจัดการเพื่อดับทุกข์ที่แท้จริง

ตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว เราควรปล่อยวางทุกข์ ไม่ให้ความทุกข์มาอยู่เหนือสติปัญญาและจิตใจได้ ดังนั้นถ้าอยากจะหนีทุกข์ ดับทุกข์ ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม การปล่อยวางเป็นหนทางที่ดีสุด แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเราจะปล่อยวางไม่ได้เลย หากไม่มี ‘สติ’

หยุดคิดเป็น ก็ดับทุกข์ได้

ปัญหาของคนเราส่วนใหญ่เกิดจากการควบคุมความคิดไม่ได้ เผลอคิดไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อมีปัญหาหนัก ๆ และควบคุมความคิดไม่เป็น หยุดความคิดไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อตัวเองและคนรอบข้าง พาลจะทำให้สังคมเดือดร้อนเพราะคนประเภทนี้บ่อยขึ้น ซึ่งการจะทำให้หยุดคิดเป็นก็ต้องควบคุมความคิดให้ได้เสียก่อน

การหยุดคิดให้เป็น เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนอย่างจริงจัง ไม่ใช่อยู่ดี ๆ คนเราก็หยุดคิดกันได้ง่าย ๆ ถ้าพูดกันในแง่ของศาสนา การหยุดคิดให้เป็นคือการรู้จักการถอนสมมุติบัญญัติ ซึ่งสมมุติบัญญัติก็คือการสมมุติสิ่งต่าง ๆ บนโลกเพื่อให้เข้าใจตรงกัน แต่เราดันไปยึดติดกับสิ่งที่สมมุติขึ้นมานี้มากกว่าความจริงที่เที่ยงแท้เสียอีก

อย่างที่บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนเป็นสมมุติบัญญัติทั้งนั้น เช่น หนังสือก็คือสิ่งสมมุติ กระดาษที่เอามาเย็บรวมกันเป็นหนังสือก็คือสิ่งสมมุติ เยื่อไม้ที่เอามาทำกระดาษก็เป็นสิ่งสมมุติด้วยเหมือนกัน สรุปก็คือสิ่งที่แท้จริงบนโลกนี้มีเพียงแค่ ‘ธาตุ’ ดังนั้นเราต้องมองทุกอย่างให้เป็นธาตุ มองบ่อย ๆ พิจารณาเรื่อย ๆ และเมื่อมีปัญหาไม่ว่าหนักหรือเบา ถ้าอยากหยุดคิดให้เป็นก็ต้องกำหนดไว้ในใจให้ได้ว่ามันแค่ธาตุตามธรรมชาติ เป็นเรื่องของธาตุ จะไปสนใจ ใส่ใจมากมายเพื่ออะไร

ดังนั้นอย่าไปยึดถือ อย่าไปจริงจังกับสิ่งนั้น สิ่งนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว แต่พอเจอปัญหาเข้าจริง ๆ กลับไม่รู้วิธีที่จะไม่ยึดถือ ไม่จริงจังกับมัน คิดแต่ปัญหาที่ตัวเองเจอ ยิ่งคิดยิ่งตัน ยิ่งคิดยิ่งมืด หยุดคิดไม่ได้ คิดต่อก็ทุกข์จนทนไม่ไหว เลยขอตายดีกว่า นี่คือความจริงอันโหดร้ายที่หลายคนเป็นกัน แต่เราป้องกันได้ด้วยคาถาของพระพุทธเจ้าที่ว่า 

“จงมองทุกอย่างด้วยความเป็นธาตุ มองเห็นทุกสิ่งเป็นธาตุคราใด ก็หยุดคิดเป็นครานั้น หยุดคิดเป็นคราใด ก็หยุดทุกข์เป็นครานั้น นี่คือความจริงของธรรมชาติที่ค้นพบได้ด้วยตัวเอง ใครค้นพบได้ก่อน ก็ดับทุกข์ได้ก่อน”

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0