ปอร์เช่ นำหลักการบริหารจัดการระบบกำเนิดความร้อนและพลังงานมาใช้ภายในองค์กร ด้วยการเริ่มใช้เครื่องกำเนิดพลังงานระบบใหม่ล่าสุด ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าและความร้อนได้ในเวลาเดียวกัน ในสายการผลิตของโรงงาน Stuttgart-Zuffenhausen เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมจากการเผาผลาญพลังงาน และเดินหน้าสู่เป้าหมายเป็นสถานประกอบการที่ปราศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ในส่วนสายการผลิตรถไฟฟ้า “ปอร์เช่ ไทคานน์” เมื่อเดินเครื่องกำเนิดความร้อนและพลังงานแบบใหม่ในโรงงานดังกล่าว เครื่องจักรแต่ละตัวสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 2 เมกะวัตต์ โดยทำงานด้วยเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพและสิ่งปฏิกูลจาก สารอินทรีย์ หรือขยะชีวภาพ
ขณะที่เครื่องกำเนิดพลังงานแบบดั้งเดิม ระบบ cogeneration จะทำหน้าที่ผลิตความรัอน และพลังงานในลักษณะคู่ขนาน โดยนำความร้อนที่ได้กลับมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบการเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้นเมื่อกระบวนการถ่ายเทความร้อนเกิดขึ้นในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน
ส่วนระบบ cogeneration แบบใหม่ ให้ประสิทธิภาพการผลิตพลังงานสูงสุดมากกว่า 83 % โดยจะถูกนำมาใช้เพื่อผลิตความร้อนและพลังงานแทนที่เครื่องกำเนิดพลังงานเดิม ในสายการผลิตสำหรับปอร์เช่ ซึ่งติดตั้งเครื่องจักรที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติไว้ 2 เครื่องในปัจจุบัน ระบบใหม่นี้สามารถ ปรับใช้เชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ เพิ่มเติมได้อีกด้วย
สำนักงานใหญ่ของปอร์เช่ในสตุ๊ทการ์ท กำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับใช้ พลังงานชีวภาพที่ได้จากสิ่งปฏิกูลของแหล่งชุมชนในตัวเมือง โดยความร่วมมือของคณะกรรมาธิการบริหาร City of Stuttgart commissions ทั้งนี้คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จในปี 2021
การริเริ่มใช้ระบบผลิตพลังงานใหม่ cogeneration ของปอร์เช่ในโรงงาน Zuffenhausen นั้น ถูกดำเนินการเคียงข้างไป กับการพัฒนาสายการผลิต ไทคานน์ (Taycan) รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบคันแรกจากปอร์เช่ ยานยนต์สมรรถนะสูง 4 ประตู ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ที่จะเผยโฉมอย่างเป็นทางการ ในปลายปี 2019 และผลิตในโรงงานZuffenhausen ที่ปราศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตามจุดมุ่งหมายที่ไม่เพียงผลิตรถที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ และผลเสียต่อระบบนิเวศโดยรวมอีกด้วย
ท้ายที่สุด วิสัยทัศน์ที่จะต้องตอบโจทย์จนสำเร็จลุล่วง คือ ‘zero-impact factory’ หรือโรงงานไร้มลพิษ ระบบผลิตพลังงานแบบใหม่ cogeneration คือก้าวย่างที่มีความหมายและสำคัญยิ่งต่อทิศทางอันถูกต้องที่เราจะเดินหน้าไป” Albrecht Reimold สมาชิกคณะ กรรมการบริหารผู้กำกับดูแลส่วนงานการผลิตและโลจิสติกส์ของปอร์เช่ กล่าวทิ้งท้าย