“หาเงินมาทั้งชีวิต หากโรคภัยทำพิษ เงินเก็บทั้งชีวิตก็หายไป”
ในวันที่สุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีเรื่องร้ายใดๆ เข้ามาในชีวิต ใครหลายคนก็คงคิดว่า
ทำประกันสุขภาพ เหมือน “เป็นภาระ” ที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันทิ้งไปเปล่าๆ โดยไม่ได้ใช้
ซึ่งจริงๆ แล้ว การทำประกันสุขภาพ ถือเป็นการโอนย้ายความเสี่ยงทางการเงิน
ช่วย “แบ่งเบาภาระ และบรรเทาความเสียหาย” ในยามที่เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่คาดไม่ถึงต่างหาก
ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ โรคร้ายแรง หรือภาวะทุพพลภาพ …
ซึ่ง ‘บริษัทประกัน’ เป็นผู้รับประกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยด้านต่างๆแทนเรา และเราก็มีหน้าที่ในการจ่ายเบี้ยประกันตามสัญญา โดยประกันสุขภาพจะแบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆ ดังนี้
1.กลุ่มค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก
2.กลุ่มค่าชดเชยรายได้
3.กลุ่มคุ้มครองอุบัติเหตุ
4.กลุ่มโรคร้ายแรง
5.กลุ่มคุ้มครองทุพพลภาพ
ยิ่งเราสามารถวางแผนได้ครอบคลุมมากเท่าไหร่ วันใดที่เราเจ็บป่วยขึ้นมา ประกันที่มีอยู่ ก็ช่วยลดความกังวลใจของเราไปได้เท่านั้น แต่ทั้งนี้ เราควรคำนึงถึง ความสามารถในการชำระเบี้ยประกันของเราด้วย ซึ่งข้อแนะนำคือ เบี้ยประกันที่ชำระ ไม่ควรเกิน 10-15% ของรายได้ทั้งปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางการเงินที่สูงเกินไปนัก
นอกจากนี้การเตรียมแผนประกันสุขภาพอย่างเหมาะสมให้กับตนเองและครอบครัวในระยะยาว รวมถึงการทบทวนแผนประกันที่มีอยู่สม่ำเสมอ ยังมีความสำคัญและจำเป็นในอีกหลายด้าน เนื่องจาก
1.อัตราค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี
2.เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวไกล
3.สถานการณ์โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดขึ้น ดังเช่น Covid-19
4.คนเรามีแนวโน้ม อายุยืนขึ้น
5.สวัสดิการของรัฐที่มีอยู่ อาจไม่เพียงพอหรือไม่ทั่วถึง
ดังนั้นแล้ว การที่เราวางแผนประกันสุขภาพให้กับตนเองและครอบครัว (หรือบุคคลในความดูแล) ด้วยจำนวนเบี้ยประกันที่เราจัดสรรไว้ล่วงหน้าในแต่ละปี เพื่อคุ้มครองวงเงินค่ารักษาหลักหมื่น หลักแสน หรืออาจจนถึงกระทั่งหลักล้านบาท จึงถือเป็นการใช้เงินก้อนเล็ก เพื่อปกป้องเงินก้อนใหญ่ในกระเป๋าของเรา ดังคำกล่าวที่ว่า “ราคาปกป้องย่อมดีกว่าราคาแก้ไขเสมอ”