โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

ปธ.ยังต้องยอมสยบ! ลิโอเนล เมสซี่ จากเด็กตัวน้อยสู่ผู้ทรงอิทธิพลในถิ่นคัมป์นู

ขอบสนาม

อัพเดต 15 ก.พ. 2561 เวลา 03.21 น. • เผยแพร่ 09 เม.ย. 2563 เวลา 09.35 น.
ปธ.ยังต้องยอมสยบ! ลิโอเนล เมสซี่ จากเด็กตัวน้อยสู่ผู้ทรงอิทธิพลในถิ่นคัมป์นู

16 พฤศจิกายน 2003 คือวันแรกที่เด็กหนุ่มวัย 16 ปี 4 เดือน 23 วัน ที่ชื่อว่า ลิโอเนล เมสซี่ ได้รับโอกาสเปิดซิงลงสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพให้กับ บาร์เซโลน่า ด้วยการลงเล่นเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 75 แต่เวลาแค่ 15 นาทีในสนาม เด็กหนุ่มคนนี้ก็โชว์ลวดลายลีลาได้อย่างสะเด็ดสะเด่า จนเตะตาโดนใจใครต่อใครหลายคน จนได้รับโอกาสลงเล่นอยู่เรื่อยๆ

แต่ใครจะไปเชื่อว่าจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ผ่านไป 17 ปี เด็กหนุ่มร่างเล็กจากอาร์เจนติน่า ที่ดูนิ่งๆ ซึมๆ ตั้งหน้าตั้งตาเล่นบอลอย่างเดียว ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยจา ไม่มีปากไม่มีเสียงจะกลายมาเป็น ลิโอเนล เมสซี่ เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 6 สมัย และเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในทัพ "เจ้าบุญทุ่ม" รวมไปถึงในประเทศอาร์เจาติน่า บ้านเกิดด้วย

ย้อนกลับไปสัก 4 ปีที่แล้ว เล่าลือกันหนาหูเหลือเกินว่า เมสซี่ ที่ตอนนั้นอายุเพิ่งจะ 28 แต่มีอิทธิพลสูงมากในถิ่น คัมป์ นู ถึงขนาดสามารถจิ้มเลือกโค้ชได้เลย หรือไม่พอใจเพื่อนร่วมทีมคนไหน คนนั้นก็มีสิทธิ์จะโดนขายทิ้งได้ทันที แต่มันก็ยังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้แน่ชัดขนาดนั้น

แต่หลังหมดยุค ชาบี เอร์นานเดซ กับ อันเดรส อินเนียสต้า อำนาจและความอาวุโสก็ถูกผลัดใบมาอยู่กับ เมสซี่ แบบเต็มๆ ปลอกแขนกัปตันทีม เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ถึงความเป็นผู้นำในตัวเขา และทุกวันนี้ปี 2020 ดูเหมือนว่าดาวยิงทีมชาติอาร์เจนติน่า จะไม่ได้แค่มีอิทธิพลเหนือเพื่อนร่วมทีม และ กุนซือ เท่านั้นซะแล้ว เพราะกล้าๆ เปิดศึกกับ ประธานฝ่ายเทคนิคอย่าง เอริค อบิดัล รวมถึงออกแถลงการณ์แขวะบอร์ดบริหาร และประธานสโมสรอีกด้วย ส่วนเรื่องมันจะเป็นอย่างไรกันบ้าง มาดูกันดีกว่า

เริ่มจากการเปิดศึกกับ อบิดัล กันก่อนเลย เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า อดีตแบ็กทีมชาติฝรั่งเศส ดันไปให้สัมภาษณ์ตำหนิเหล่าแข้งบาร์ซ่า ว่ามีพวกที่เล่นไม่ทุ่มเท หวังให้ทีมผลงานไม่ดี เพื่อไล่โค้ช จนสุดท้าย เอร์เนสโต บัลเบร์เด้ ต้องมาโดนไล่ออกจากตำแหน่งกุนซือไป

ซึ่งคำพูดของ อบิดัล นั้นสร้างความไม่พอใจให้ เมสซี่ อย่างมาก และในฐานะกัปตันทีม จึงต้องออกมาปกป้องตัวเองและเพื่อนร่วมทีมหน่อย โดยได้ตอกกลับผ่านไอจีว่า "ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่อยากออกมาโพสต์อะไรแบบนี้เลย แต่ผมคิดว่าเราต่างก็มีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ และต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง"

"คนที่เป็นผู้บริหารด้านกีฬาควรจะทำงานตามหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน ที่สำคัญ คือต้องจัดการกับการตัดสินใจของตัวเองด้วย สุดท้ายนี้ ถ้าคุณจะพูดถึงนักเตะ หรือตำหนิใคร คุณก็ควรพูดชื่อออกมาให้ชัดเลยดีกว่าว่าหมายถึงใคร ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นว่าคุณทำให้เกิดข้อกังขากับนักเตะทุกคน และทำให้ข่าวลือที่ไม่เป็นจริงแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว"

แน่ล่ะครับ เมื่อยอดแข้งผู้ทรงอิทธิพลในทัพ "เจ้าบุญทุ่ม" เดือดขนาดนี้มีหรือ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรจะยอมอยู่เฉย กริ๊งกร๊างเรียก เอริค อบิดัล มาปรับทัศนคติทันที ซึ่งทีแรกคาดกันว่าจะหนักหนาถึงขั้นโดนไล่ออกจากตำแหน่งเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็แค่เรียกมาตักเตือนและทีหลังก็หัดคิดก่อนพูดซะบ้าง ก็เล่นเอา อบิดัล ไม่กล้าเปิดปากตำหนิใครอีกเลย

อย่างไรก็ตามจบเรื่องกับ อบิดัล ไปได้ไม่ถึง 2 เดือนดี บอร์ดบาร์ซ่า ก็สร้างความไม่พอใจให้ เมสซี่ อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ดูจะรุนแรงกว่าเดิมด้วย เพราะมันทำให้ภาพลักษณ์ของ เมสซี่ และนักเตะคนอื่นๆ ภายในทีมดูแย่มากๆ 

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า อย่างที่เราทราบกันดีว่าสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักนี้ ได้รับผลกระทบไปทั่วโลก บอลก็เตะไม่ได้ แต่สโมสรก็ยังต้องจ่ายค่าเหนื่อยให้ทั้งนักเตะและบุคลากรในสโมสรอยู่ ซึ่ง บอร์ดบริหารทัพ "เจ้าบุญทุ่ม" ก็มีแนวคิดจะหักค่าเหนื่อยจากนักเตะ 70% ในช่วงวิกฤติโควิด แต่ก็ยังไม่ออกแถลงการณ์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พอนานวันขึ้นก็มีข่าวออกมาว่า "นักเตะบาร์ซ่า ไม่ยอมลดค่าจ้าง!" แต่พอข่าวลือนี้ออกมา บาร์โตเมว ในฐานะประธานสโมสรก็ยังนิ่งเงียบทำตัวเป็นโนบิตะซื่อบื้อ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปล่อยให้ เมสซี่ และเพื่อนร่วมทีมโดนโซเชียลด่ากระจาย

จนสุดท้าย เมสซี่ ในฐานะพี่ใหญ่ก็ทนไม่ไหวต้องออกมาปกป้องตนเองและเพื่อนร่วมทีมโดยโพสต์อย่างดุเดือดและยาวเหยียด แต่ผมจะสรุปให้สั้นๆ ถึงสิ่งที่ เมสซี่ ต้องการจะสื่อคือ "พวกกูพร้อมลดค่าเหนื่อย 70% ตั้งแต่วันแรกละ แล้วก็บอกบอร์ดบริหารไปแล้วด้วย ไม่รู้พวกแม่งมัวแต่ทำห่าอะไรอยู่ไม่ประกาศสักที พวกกูเลยโดนสังคมด่าเละเลยเนี่ย ไอเชี่ยย!"

หลัง เมสซี่ โพสต์ระบายความอัดอั้น พร้อมกับประกาศว่านักเตะทุกคนจะลดค่าเหนื่อยด้วยตัวเอง 70% ก็ได้รับการชื่นชมอย่างมาก ถึงขั้นถูก "เลอ กิ๊ป" สื่อดังในฝรั่งเศส ยกย่อง ลีโอเนล เมสซี ให้เป็นเหมือน เช กูวาร่า นักเคลื่อนไหวระดับตำนานชาวอาร์เจนติน่าเลยทีเดียว

เจอดอกนี้เข้าไป โนบิตะ บาร์โตเมว ประธานสโมสรบาร์ซ่า ถึงขั้นเซ เพราะไม่ต่างอะไรกับการโดนลูกน้องด่าออกสื่อ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอย่างที่บอกไป ทุกวันนี้ เมสซี่ คือ บาร์ซ่า บาร์ซ่า คือ เมสซี่ ต่อให้เป็นถึงประธานก็ไม่สามารถจะจัดการอะไร เมสซี่ ได้ สุดท้ายได้ออกมาแถลงการณ์ว่า “เมสซี่ แจ้งเราตั้งแต่วันแรกว่าต้องลดค่าเหนื่อย ข้อเสนอนี้มาจากกัปตันทีมของเรา มันคือการกระทำที่แสดงให้เห็นถึงความรักมั่นต่อสโมสร". … แต่สุดท้ายแม่งก็ไม่ได้ตอบว่าอมห่าอะไรอยู่ถึงไม่ประกาศสักที จน เมสซี่ ต้องออกมาพูดเอง

ด้วยความบาดหมางทั้งหลายเหล่านี้ ก็เลยทำให้มีกระแสว่า เมสซี่ ที่กำลังจะหมดสัญญาสิ้นฤดูกาลหน้า อาจจะไม่ต่อสัญญาฉบับใหม่กับสโมสร หรือถ้้าจะต่อก็อาจจะต้องโละบอร์ดบริหารชุดใหญ่เลยทีเดียว ทีนี้เราก็ต้องตามกันต่อไปหละครับว่า สุดท้ายแล้ว อิทธิพลของ เมสซี่ ในทีม บาร์เซโลน่า มันจะมีมากพอถึงขั้นกดดันให้เปลี่ยนบอร์ดบริหารชุดใหม่ได้หรือไม่ และนี่คือเรื่องราวของ เด็กตัวเล็กๆ จากอาร์เจนติน่า ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลของยอดทีมในสเปน เขาคนนั้นคือ ลิโอเนล เมสซี่

ชิน ชินพัฒน์

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0