โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ปฏิบัติการ "อุ้มโจ๊ก หวานเจี๊ยบ" คัมแบ็กงานตำรวจ ป่วนจนนาทีสุดท้าย ต้องใช้ มติกตร. ถอดชื่อออก ลดแรงเสียดทาน **ศาลรัฐธรรมนูญ รับเรื่องส.ส.ถือหุ้นสื่อฯ 32คน ไว้พิจารณาแต่ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

Manager Online

เผยแพร่ 26 มิ.ย. 2562 เวลา 21.58 น. • MGR Online

ข่าวปนคน คนปนข่าว

**ปฏิบัติการ "อุ้มโจ๊ก หวานเจี๊ยบ" คัมแบ็กงานตำรวจ ป่วนจนนาทีสุดท้าย ต้องใช้ มติกตร. ถอดชื่อออก ลดแรงเสียดทาน หลังโป๊ะแตก! ถูกจับได้ไล่ทัน “ลุงป้อม.”เซ็นคำสั่งตั้งเป็นอนุกรรมการฯ ที่“โจ๊ก”ได้สองเด้ง สร้างภาพยังเป็น "หลานรัก" - ฟอกมลทินจากคำสั่ง ม.44

เรื่องของ"โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ทำเอาผู้มีอำนาจ และวงการสีกากีปั่นป่วนตั้งแต่เช้าจรดเย็น …ตอนเช้าขณะที่สังคมยังถกเถียง ขยายประเด็นกับข่าวว่า "โจ๊ก" จะกลับหรือไม่กลับตำรวจ อย่างไรกันต่อ … จังหวะนี้ประจวบเหมาะพอดิบพอดี มีเอกสารปรากฏให้เป็นข่าวว่า “ลุงป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ที่ดูแลตำรวจได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง "พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล" อดีต ผบก.สตม. และ อดีตนายตำรวจคู่ใจ ข้างกาย มาเป็นกรรมการ อนุ ก.ตร. เกี่ยวกับกฎหมาย และระเบียบ ตามมติที่ประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 5/2562 เห็นชอบ ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมานู่น

เอกสารคำสั่ง ระบุว่า "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" ที่ปัจจุบันเป็นข้าราชการพลเรือน สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เข้ามาเป็นกรรมการร่วมกับนายตำรวจอื่นๆ อีก 15 นาย โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าว มี "พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา" รอง ผบ.ตร. เป็นประธานอนุกรรมการ มีหน้าที่ หลักๆ อาทิ การพิจารณาและเสนอความเห็นต่อ ก.ตร. ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง , พิจารณาและเสนอความเห็นต่อ ก.ตร. เกี่ยวกับการออก แก้ไข ปรับปรุง และยกเลิก ในส่วนที่ไม่จำเป็นของกฎหมาย กฎก.ตร. ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด ประกาศ มติ การกำหนดนโยบาย และมาตรฐานเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2547 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำกับดูแล ตรวจสอบ และแนะนำงานที่เกี่ยวข้อง

พอกลายเป็นข่าวขึ้นมา กระแสวิจารณ์ก็ตามมาว่า นี่ไง… ไม่ได้กลับมาเป็นตำรวจก็จริง แต่ก็มีส่วนเข้ามาทำงานของตำรวจจนได้ ไหน"ลุงป้อม" บอกว่า ไม่มีๆ กระบวนท่าแบบนี้ คนในยุทธจักรเขาเรียก “หลอกซ้าย จู่โจมขวา”หรือไม่ … "ลุงป้อม" ต้องรีบโบ้ยเรื่องนี้กับสื่อในเวลาต่อมาว่า เรื่องแต่งตั้ง "หลานโจ๊ก" เป็นเรื่องภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถให้บุคคลภายนอก ที่ปัจจุบันไม่ได้เป็นข้าราชการตำรวจ เข้ามาเป็นคณะอนุ ก.ตร.ได้ และการแต่งตั้ง อนุก.ตร. ก็อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการก.ตร.ชุดใหญ่ ส่วนตัว"ลุงป้อม" เองมีหน้าที่แค่เซ็นชื่อเท่านั้น …

เมื่อสังคมยังมีความสงสัย เรื่องการโยกย้าย "โจ๊ก" ออกจากตำแหน่ง อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มาเป็นข้าราชการพลเรือนแล้ว เหตุใดจึงมาเป็น อนุก.ตร.ได้อีก ซึ่ง"ลุงป้อม" ก็บอกว่า ในช่วงบ่าย(26 มิ.ย.) จะมีการประชุม ก.ตร.

มีการตั้งข้อสังเกตว่า การที่ "โจ๊ก" ได้เป็นหนึ่งในคณะอนุ ก.ตร. นั้น เป็นการส่งสัญญาณว่า อาจจะได้กลับมาดำรงตำแหน่งในสตช.อีกครั้ง แต่"ลุงป้อม" ก็บอกว่า คำสั่งที่เห็นกันนั้น เป็น“คำสั่งเก่า”เนื่องจากมี อนุ ก.ตร. คนหนึ่งที่เสียชีวิต จึงมีการเสนอชื่อคนอื่นเข้ามาแทน ส่วนชื่อ"โจ๊ก" มีอยู่ก่อนแล้ว … แต่ลุงป้อม ก็ยังยืนยันว่า "หลานโจ๊ก" ไม่สามารถกลับเข้ามาทำงานใน สตช.ได้ เพราะเป็นข้าราชการพลเรือนไปแล้ว… "ผมถามว่าแล้วจะกลับมาได้อย่างไร" ลุงป้อม ว่า

ก่อนที่ จะมีมติที่ประชุม กตร. “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”ตัวละครสำคัญ ที่ถูกพาดพิงก็เคลื่อนไหว ระบุว่า คำสั่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งนี้ เป็นคำสั่งแต่งตั้งในคณะทำงานชุดเดิม ซึ่งปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในบางตำแหน่ง รวมถึงประธานกรรมการ เนื่องจากเกษียณอายุราชการ จึงต้องมีการลงนามคำสั่งใหม่อีกครั้ง ยืนยันว่า ไม่ใช่การแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ อย่างที่มีการเข้าใจกัน

ส่วนที่ปรากฏภาพ เดินทางไปไหว้พระที่ จ.นครศรีธรรมราชนั้น ก็เป็นเรื่องจริง เพราะนับถือ เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งที่ผ่านมาก็มีโอกาสเดินสายทำบุญเช่นนี้มาตลอด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ภาระงานค่อนข้างหนัก ทำให้เวลาในการตระเวนไหว้พระมีน้อย แต่หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการพลเรือน ทำให้พอมีเวลามากขึ้น ในการปฏิบัติธรรม อีกทั้งช่วงนี้ ทั้งคุณพ่อ และคุณแม่ สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง โดยเฉพาะคุณแม่ เพิ่งหกล้ม จนทำให้ต้องพักฟื้นอยู่เป็นสัปดาห์ จึงคิดว่า น่าจะหาโอกาสที่เหมาะสม "ไปไหว้พระขอพร เพื่อให้คุณแม่หายป่วย"

แม้จะออกโรงมาแจกแจง ทั้ง"ลุงป้อม"และ "หลานโจ๊ก" แต่กระแสก็ยังแรงไม่หยุด โลกออนไลน์ร้อนระอุ ว่า คำสั่งนี้ ทำให้ "โจ๊ก" เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานของตำรวจอีกครั้ง เท่ากับยืนยันสัญญาณว่า ข่าวลือที่ว่าเขาจะถูกโอนย้ายกลับตำรวจ แม้วันนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่อนาคตไม่แน่ใช่หรือไม่ อย่าลืมว่า "พล.ต.ท.สุรเชษฐ์" เกษียณอายุราชการปี 2574 เหลืออีก 12 ปี มีเวลาเหลือเฟือที่จะสานฝัน

สัมพันธภาพระหว่าง "ลุงป้อมกับหลานโจ๊ก" จากที่เซ็นคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการฯครั้งนี้ ตอกย้ำความแนบแน่น และคนที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ จากกระแสข่าวนี้ ก็คือ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" เองซึ่งได้ถึงสองเด้ง

เด้งที่หนึ่ง โจ๊ก แสดงออกให้สังคมเห็นว่า เขายังเป็น หลานรัก คนสำคัญของลุงป้อมเสมอ ตราบเท่าที่ยังเป็นที่รักของ “นาย”โดยเฉพาะนายที่ชื่อ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" ผู้ใหญ่ ผู้มากบารมีระดับพี่ใหญ่ของ "3ป." คณะคสช.และรัฐบาล อย่าเพิ่งกาชื่อโจ๊กออกจากวงอำนาจ !

เด้งที่สอง สื่อให้สังคมรู้ทั่วกันไปว่า คำสั่งโอนย้ายโจ๊ก ออกจากราชการตำรวจไปเป็นข้าราชการพลเรือนตามคำสั่ง ม.44 "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งปกติต้องมีการตรวจสอบข้อสงสัยว่า ทำผิดอะไรหรือไม่ ถ้าไม่ผิดแล้วก็ย้ายกลับได้ วันนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่ พิสูจน์ทราบอะไรไม่ได้

การที่โจ๊กได้เป็นอนุกรรมการ กตร. = บริสุทธิ์ผุดผ่อง ?

รวมความแล้ว แม้ว่าตำแหน่งคณะอนุกรรมการฯ จะเป็นตำแหน่งเล็กๆ ไม่มีอำนาจหน้าที่ให้คุณให้โทษตำรวจ อีกทั้งคณะอนุกรรมฯของกตร. ยังมีด้านต่างๆ อีกเป็นสิบชุด แต่กระนั้นก็เพียงพอ และปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่เป็นการสร้างภาพให้ "พล.ต.ท. สุรเชษฐ์" คัมแบ็ก กลับมาในวงการตำรวจได้อย่างเนียนๆ … แค่นั่งเป็นอนุกรรมการ กตร. ก็สำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง อย่างว่า

อย่าได้แปลกใจถ้า"โจ๊ก" จะไปไหนจากนี้จะมีนายตำรวจน้อยใหญ่ แห่แหนเอาใจพินอบพิเทา เหมือนที่เกิดขึ้นตอนที่ลงไปไหว้ "ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช" เมื่อหลายวันก่อน … เขาว่าชะตาชีวิตตำรวจ อยู่ที่ความสามารถและการฟันฝ่าของแต่ละบุคคลจะลิขิตเอง แต่อำนาจบารมีของผู้มีอำนาจหนุนนำ ก็เป็นตัวชี้ขาด ที่สำคัญ … ที่ผ่านมา"ลุงป้อม"ไว้วางใจให้"หลานโจ๊ก" เป็นทั้งตำรวจข้างกาย โฆษกประจำตัว ช่วยจัดการบริหารงานตำรวจ รวมไปถึงกระแสเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่า ระยะหลัง"เป็นคนจัดโผตำรวจ" กลั่นกรองให้ลุงป้อม ที่คุม ตร.อีกด้วย

"โจ๊ก" จึงเป็นคนสำคัญต่อ"ลุงป้อม" และ ลุงป้อมก็เอ็นดู ต้องโอบอุ้มไว้ทำงาน "มีลุงป้อม ก็ต้องมีโจ๊ก" !

ทว่า ช่วงประมาณ16.25 น. ของวันเดียวกันนี้(26มิ.ย.) "พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา" รอง ผบ.ตร.ได้แถลงผลการประชุม ก.ตร. ที่มี "ลุงป้อม" นั่งหัวโต๊ะ ระบุว่า ที่ประชุมมีมติ ถอนชื่อ "พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล" ออกจากการเป็น อนุก.ตร.เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบ ตามที่มีประกาศแต่งตั้ง ที่ลงนามโดย "พล.อ.ประวิตร" เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมาดังกล่าว … เหตุผลเพราะ "พล.ต.ท.สุรเชษฐ์" ถูกคำสั่งโอนย้ายจากข้าราชการตำรวจ ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งอาจจะไม่สะดวกในการเดินทางไปประชุม อนุก.ตร. และเพื่อความเหมาะสม ไม่เกี่ยวข้องกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้ง "พล.ต.ท.สุรเชษฐ์" แต่อย่างใด

แว่วว่า หน้าฉากก็ว่ากันไป ไม่เกี่ยวๆ เพื่อหาทางลงให้สวยๆ แต่เบื้องหลังการประชุม กว่าจะมีมติถอดชนวนระเบิดนี้ได้ก็ทำ"ลุงป้อม" ปวดหัวพอสมควร …"ความวัว" แก้หนี้นอกระบบ สร้างภาพแหกตา โอนย้ายหลานรัก กลับมาเป็นใหญ่ ยังไม่ทันหาย "ความควาย" ก็มาอีก งานนี้จึงจำเป็นจำใจ ต้องถอดชื่อ"โจ๊ก" ออกไม่งั้นตอบสังคมไม่ได้ คนที่จะกลายเป็นโจ๊กแทนก็คือ"ลุงป้อม"นั่นเอง…

** ศาลรัฐธรรมนูญเคาะเบื้องต้นแล้ว ..กรณี 41 ส.ส.ถือหุ้นสื่อฯ ไม่รับเรื่องไว้พิจารณา 9 คนส่วนอีก 32คน รับไว้พิจารณาแต่ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว พร้อมแจกแจงแนวทางการพิจารณาว่า ทำไมไม่เหมือนกรณี "ธนาธร" จะได้ปิดปากพวกที่จ้องจะว่า "สองมาตรฐาน"

กรณี ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ยื่นคำร้องผ่าน"นายชวน หลีกภัย" ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัย "41 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล" ที่ถือครองหุ้นสื่อฯ ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งส.ส. หรือไม่ โดยที่ประชุมตุลาการศาลรธน. มีมติไม่รับคำร้องไว้พิจารณา 9 คน ส่วนอีก 32 คน รับคำร้องไว้พิจารณา แต่ไม่ได้สั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว เหมือนกรณีของ "นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

ส.ส.9 คน ที่ "โล่งอก" หมดเรื่องกังวลใจว่าจะต้องหลุดจากเก้าอี้ส.ส.หรือไม่ ประกอบด้วย 1. นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา 2. นายสุรศักดิ์ ชิงนวรรณ์ ส.ส.สระแก้ว 3. น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ 4. น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี 5. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 6. นายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม. 7.นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ 8. นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ และ 9. นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี

กรณีของ ส.ส.9 คนนี้ ศาลฯเห็นว่า รธน. มาตรา 98(3) บัญญัติลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ไว้ว่า… "เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ" … ไม่ใช่แค่มีเจตนา หรือมีความประสงค์ที่จะทำกิจการสื่อฯ เท่านั้น แม้การถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท ที่มีวัตถุประสงค์จะประกอบธุรกิจพอที่จะใช้เป็นเหตุ ให้มีการยื่นคำร้องต่อศาลฯได้ แต่ก่อนที่จะรับคำร้องไว้พิจารณา ยังต้องตรวจสอบวัตถุประสงค์ ของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท ที่ผู้ถูกร้อง ถือหุ้นอยู่ ว่ามีวัตถุประสงค์ที่จะประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ หรือไม่…

จากตรวจสอบ เอกสารประกอบคำร้องของทั้ง 9 คนนี้ ปรากฏว่า มีข้อความระบุถึงประสงค์ไว้ ในทำนองเดียวกันว่า… "การประกอบกิจการค้า กระดาษ เครื่องเขียน แบบเรียน แบบพิมพ์ หนังสือ อุปกรณ์การเรียนการสอน อุปกรณ์ถ่ายภาพและภาพยนตร์ เครื่องคำนวณ เครื่องพิมพ์ อุปกรณ์การพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ ตู้เก็บเอกสาร และเครื่องใช้สำนักงานทุกชนิด เครื่องมือสื่อสาร คอมพิวเตอร์ รวมทั้งอุปกรณ์ และอะไหล่ของสินค้าดังกล่าว" ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ ที่จะเป็นลักษณะเข้าข่ายอันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพส.ส.ต้องสิ้นสุดลง …จึงถือว่า ไม่เข้าข่ายถือหุ้นสื่อ

ส่วนกรณีของ ส.ส.อีก 32 คน ที่ศาลฯ รับคำร้องไว้พิจารณา เพราะมีรายละเอียดการแจ้งวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการทำธุรกิจสื่อฯไว้ แต่ "ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส." เนื่องจากศาลฯ เห็นว่า ตามรธน. มาตรา 82 วรรคสอง กำหนดเงื่อนไว้ว่า… " ต้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ส.ส.ผู้ถูกร้อง มีกรณีตามที่ถูกร้อง" … แต่คดีนี้ ประธานสภาฯ ไม่ได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงมาก่อน มีเพียงเอกสารประกอบคำร้อง เป็นหนังสือรับรองห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท ระบุรายละเอียดวัตถุที่ประสงค์ กับสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นเท่านั้น ไม่ปรากฏแบบแสดงรายการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ (แบบ สสช.1) และแบบนำส่งงบการเงิน ว่ามีรายได้จากการประกอบกิจการใด "จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าส.ส.ทั้ง 32 คน ประกอบธุรกิจใด" ซึ่งศาลฯ ต้องทำการไต่สวนหาข้อเท็จจริงให้ยุติต่อไป … เมื่อยังไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ส.ส.ทั้ง 32 คน มีกรณีตามที่ถูกร้อง "จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขที่จะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่"

เพื่อป้องกันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่จะตามมาว่า "ศาลฯ พิจารณาแบบสองมาตรฐาน" จึงได้ชี้แจง เปรียบเทียบให้เห็นถึงข้อแตกต่างของกรณี 32 ส.ส.กับ กรณีของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ที่ศาลฯ รับคำร้องไว้พิจารณา และสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ไว้เป็นการชั่วคราว ว่า กรณีของ "ธนาธร"นั้น มีการร้องเรียน ผ่านทาง กกต. ซึ่ง กกต.ได้ตั้งคณะกรรมการการสืบสวน สอบสวน หาข้อเท็จจริงมาก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่ามีมูล จึงส่งเรื่องให้ศาลรธน.ชี้ขาด โดยมีการทำสำนวน ชี้มูลความผิด พร้อมเอกสารประกอบคำร้อง เช่น แบบ สสช.1 ระบุสินค้า หรือบริการ ที่ประกอบการว่า ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ โรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือพิมพ์จำหน่าย และ มี "แบบนำส่งงบการเงิน" ที่บริษัทของ นายธนาธร ยื่นต่อ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อปี 2554-2558 ระบุไว้ชัดเจนว่า มีรายได้จากการขายนิตยสาร และรายได้จากการให้บริการโฆษณา "จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า" นายธนาธร มีกรณีตามที่ถูกร้องเรียน ศาลฯ จึงสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ชี้ขาดออกมา เช่นนี้แล้ว "ปิยบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่พยายามออกมาแถลงข่าว กดดันศาลฯ ให้สั่ง ส.ส.ทั้ง 41 คน ยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว เหมือน "ธนาธร" นั้น … คงเคลียร์คัต ชัดเจนแล้วนะ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0