โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

'บีโอไอ' คงเป้าส่งเสริมการลงทุนปีนี้ 7.2 แสนล้าน

NATIONTV

เผยแพร่ 20 พ.ย. 2561 เวลา 08.31 น. • Nation TV
บีโอไอ คงเป้าส่งเสริมการลงทุนปีนี้ 7.2 แสนล้าน
บีโอไอ คงเป้าส่งเสริมการลงทุนปีนี้ 7.2 แสนล้าน

BOI เผยจำนวนคำขอส่งเสริมลงทุน 9 เดือนแรกปี 61 เพิ่มขึ้น 10% เงินลงทุนใกล้เคียงปีก่อน ส่วนภาพรวมการส่งเสริมการลงทุนปีนี้ว่า คงตามเป้าที่วางไว้ 7.2 แสนล้านบาท

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ดวงใจ อัศวจินตจิตร์  เผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ BOI ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า การส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.61) มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 1,125 โครงการ เงินลงทุนทั้งสิ้น  377,054 ล้านบาท จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10% (ม.ค.-ก.ย.60 จำนวน 1,021 โครงการ) ขณะที่เงินลงทุนใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 373,908 ล้านบาท

ส่วนการขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 69% โดยมีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 525 โครงการ เงินลงทุนรวม 290,482 ล้านบาท (อุตสาหกรรมเป้าหมายในช่วง 9 เดือนของปี 60 มีมูลค่า 171,584 ล้านบาท) อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด ได้แก่  ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองมาคือ ยานยนต์และชิ้นส่วน การท่องเที่ยว การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และดิจิทัล เป็นต้น

สำหรับการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยมีจำนวน 288 โครงการ ขยายตัว 13%  เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 60 มีจำนวน 255 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุน 230,554 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 117% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 60 มีมูลค่าเงินลงทุน 106,126 ล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมการส่งเสริมการลงทุนปีนี้ว่า ยังคงเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 7.2 แสนล้านบาท เพราะมีบางมาตรการที่จะสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ในสิ้นปีนี้ สำหรับการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในเขต EEC ยังมั่นใจว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีมูลค่าลงทุน 3 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ภาพรวมการลงทุน ญี่ปุ่นยังเป็นนักลงทุนหลักที่เข้ามาลงทุนในไทยมากเป็นอันดับ1 รองลงมา คือ จีน ซึ่งมีแนวโน้มเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตรหรืออุตสาหกรรมยางพารา ซึ่งตัวเลขการลงทุนของจีนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา โดยช่วง 9 เดือนนี้มีเงินลงทุน 2.2 หมื่นล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมามีเงินลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ยังเผยอีกว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมภายในปี 62 โดยมุ่งเน้นส่งเสริมโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องมีเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 1 พันล้านบาทในทุกประเภทกิจการ ยกเว้นกิจการที่ไม่มีสถานประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ  ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปีขึ้นไปตามเกณฑ์สิทธิปกติ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม คือการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นระยะเวลา 3 ปี มาตรการดังกล่าจะมีผลบังคับใช้กับคำขอที่ยื่นตั้งแต่ 19 พ.ย.61 ไปจนถึงสิ้นปี 62

ขณะเดียวกันยังได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งปรับปรุงมาจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่นในปัจจุบัน เริ่มบังคับใช้กับคำขอที่ยื่นตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.62 ถึงสิ้นปี 63 จะมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูงกว่าเข้าไปสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถขององค์กรท้องถิ่น โดยจะต้องดำเนินงานตามแผนความร่วมมือกับท้องถิ่นอย่างชัดเจนมีเงินลงทุนขั้นต่ำในการสนับสนุนแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท และหากสนับสนุนหลายรายในโครงการเดียวกันจะต้องสนับสนุนไม่น้อยกว่า 2 แสนบาทต่อราย โดยมาตรการใหม่นี้ได้ขยายขอบข่ายของทั้งผู้รับและผู้ให้การสนับสนุนกิจการท้องถิ่นให้กว้างขึ้นจากมาตรการเดิม จากเดิมกำหนดไว้เฉพาะกิจการด้านการเกษตรเท่านั้น เพิ่มเป็นให้ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมเบา กิจการท่องเที่ยวชุมชนด้วย  

ผู้ที่ได้รับส่งเสริมตามมาตรการดังกล่าว จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในส่วนกิจการที่ดำเนินการอยู่เดิม ทั้งนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีในมูลค่าไม่เกิน 120% ของเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปจริงในการสนับสนุน เช่น ค่าก่อสร้างโรงงาน ค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม เป็นต้น

ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณามาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาทั้งพื้นที่ ระบบ และนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมเมืองอัจฉริยะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องกับการเป็นประเทศไทย 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล และเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมและดิจิทัล รวมทั้งเห็นชอบให้บีโอไอเปิดให้การส่งเสริมประเภทกิจการ Maker Space หรือ Fabrication Laboratory เพื่อให้บริการเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์และลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบของตนเอง และเปิดให้การส่งเสริมประเภทกิจการ Co-Working Space เพื่อเสริมภาวะแวดล้อมให้เกิดการเชื่อมโยงกับนักพัฒนาของไทย และยังช่วยส่งเสริมชักจูงสตาร์ทอัพและ VC จากทั่วโลกให้เข้ามาลงทุนในไทยด้วย โดยมีเงื่อนไข คือต้องจัดให้มีพื้นที่ให้บริการไม่น้อยกว่า 2,000ตารางเมตร และมีเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและสิทธิประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกับภาษีอาการ

นอกจากนี้ ยังได้พิจารณามาตรการสนับสนุนให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งของตลาดทุนโดยบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะได้รับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีก 100% ของเงินลงทุน (โดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) โดยมาตรการนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย.61 ถึงวันที่ 30 ธ.ค.63

และยังเห็นชอบให้ทบทวนหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนต้องใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือแบบ MOU เท่านั้น นับตั้งแต่ 1 ม.ค.62 เป็นต้นไป โดยผ่อนผันให้ใช้แรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายได้ทุกประเภทไม่จำกัดเพียงแรงงานต่างด้าวแบบ MOU เท่านั้นเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของกระทรวงแรงงาน

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0